เตรียมความพร้อมก้าวสู่ “วัยทอง” อย่างมั่นใจสำหรับผู้ชาย

เตรียมความพร้อมก้าวสู่ “วัยทอง” อย่างมั่นใจสำหรับผู้ชาย

ถ้าคุณคือผู้ชายที่อยู่ในช่วงวัย 40 ปีขึ้นไป สิ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของผู้ชายทุกคน คือ การเริ่มเข้าสู่ “วัยทอง” แม้ว่าคำนี้จะฟังดูค่อนข้างน่ากังวล แต่จริง ๆ แล้วมันคือสัญญาณที่ช่วยเตือนให้คุณได้เริ่มปรับตัว ปรับวิธีคิด และก้าวสู่ช่วงชีวิตใหม่

การเตรียมความพร้อมตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่เพียงช่วยบรรเทาอาการต่าง ๆ ก่อนเข้าสู่วัยทอง แต่ยังเปิดโอกาสให้คุณได้สำรวจตัวเอง เพื่อหันมาลงทุนกับสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจให้มากยิ่งขึ้น

บทความนี้จะพาให้คุณเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น พร้อมแนวทางปฏิบัติที่สามารถทำได้จริง เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่วัยทองของผู้ชาย ทั้งในเชิงการกิน การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด การตรวจสุขภาพ ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จักคำว่า “วัยทอง” ให้ลึกกว่านี้กันก่อนดีกว่า

 

วัยทองของผู้ชายคืออะไร?

วัยทองในผู้ชาย คือ ช่วงวัยของการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ชายมีอายุเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่อายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งระดับฮอร์โมนเพศชายที่ชื่อว่า เทสโทสเตอโรน (Testosterone) จะเริ่มลดลงเฉลี่ยปีละ 1%

แม้จะไม่เห็นผลอย่างชัดเจนและรุนแรงเท่ากับวัยทองในผู้หญิง (ที่เกี่ยวข้องกับการหมดประจำเดือนอย่างเฉียบพลัน) แต่การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในผู้ชายเมื่อถึงจุดหนึ่งของชีวิตก็สามารถส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์และพลังงานโดยไม่รู้สาเหตุได้เช่นเดียวกัน ซึ่งนี่อาจเป็นสัญญาณแรกของการเข้าสู่วัยทอง

 

9 สัญญาณเตือนเข้าสู่วัยทองของผู้ชายมีอะไรบ้าง?

การเปลี่ยนแปลงก่อนเข้าสู่วัยทองอาจเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยที่บางคนอาจไม่ทันสังเกต ทำให้อาจเข้าใจว่าเป็นเรื่องของความเครียดหรืออายุที่เพิ่มขึ้นเฉย ๆ โดยสังเกตได้จาก  9 อาการต่อไปนี้ รู้สึกว่าไม่ค่อยมีแรง อ่อนเพลียง่าย เหนื่อยง่าย

  • มีความต้องการทางเพศ และสมรรถภาพทางเพศลดลง
  • กล้ามเนื้อลดลง อ้วนลงพุง
  • หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน หรือเบื่อง่าย
  • นอนไม่หลับ หรือนอนหลับไม่สนิท
  • ความสนุกสนานในชีวิตลดลง
  • ซึมเศร้า ขาดแรงจูงใจ หรือรู้สึกหมดไฟในชีวิต
  • ไม่ค่อยมีสมาธิเท่าแต่ก่อน ประสิทธิภาพการทำงานแย่ลง
  • ความสูงลดลง

อาการเหล่านี้อาจเกิดได้จากหลาย ๆ ปัจจัยร่วมกัน แต่หนึ่งในสาเหตุที่พบได้บ่อยคือ ภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ ซึ่งจริง ๆ แล้ว ฮอร์โมนเหล่านี้สามารถตรวจได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และถ้าคุณยิ่งรู้เร็ว ก็จะยิ่งวางแผนได้ง่ายขึ้น 

 

5 วิธีเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเข้าสู่วัยทองสำหรับผู้ชาย

แม้ว่าวัยทองจะเป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุก ๆ คนต้องพบเจอ แต่การเตรียมตัวให้พร้อมล่วงหน้า จะช่วยให้คุณสามารถปรับตัวได้อย่างมั่นใจ และกระทบต่อชีวิตของคุณน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยจะมี 5 วิธีในการเตรียมความพร้อมดังนี้

 

1. ตรวจระดับฮอร์โมนเป็นประจำ

การตรวจระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน รวมถึงระดับน้ำตาล ไขมัน และความดันโลหิต เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพื่อประเมินสุขภาพโดยรวมของร่างกายและวางแผนเพื่อป้องกันโรคที่อาจแฝงมาในช่วงของวัยทอง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือภาวะไขมันพอกตับ

 

2. ปรับพฤติกรรมการกินให้ดีต่อสุขภาพ

เน้นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ช่วยเสริมสร้างฮอร์โมนเพศชาย เช่น

  • อาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน (ปลา ไข่ ถั่ว เต้าหู้) เพื่อช่วยในการรักษามวลกล้ามเนื้อ
  • ผักใบเขียว ผลไม้ที่ไม่หวานจัด
  • ไขมันดี เช่น อะโวคาโด น้ำมันมะกอก และโอเมก้า-3 จากปลาทะเลน้ำลึก ในการช่วยผลิตฮอร์โมน
  • แร่ธาตุสำคัญ: สังกะสี แมกนีเซียม และวิตามินดี ช่วยควบคุมการสังเคราะห์เทสโทสเตอโรน

หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง รสหวานจัด และแอลกฮอล์  เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลต่อระดับฮอร์โมน และการสะสมไขมันบริเวณหน้าท้องทำให้อ้วนลงพุง

 

3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน และออกกำลังกายโดยประมาณ 3–5 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อช่วยรักษาระดับฮอร์โมน เสริมสร้างกล้ามเนื้อ และลดความเครียด โดยแบ่งประเภทของการออกกำลังกายได้ดังนี้

  • เวทเทรนนิ่ง (Strength Training) 2–3 ครั้งต่อสัปดาห์ กระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมน
  • คาร์ดิโอปานกลาง-หนัก (HIIT หรือ วิ่งเร็วสลับช้า) 1–2 ครั้ง ช่วยเพิ่มสมรรถภาพหัวใจ
  • โยคะ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น ลดการบาดเจ็บ

4. พักผ่อนให้เพียงพอ จัดการความเครียด

พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 7–8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อไม่ให้เกิดฮอร์โมนคอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) และทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย คิดบวก ผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ หรือการทำกิจกรรมที่ชอบ พบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูงให้มากขึ้น เพื่อลดภาวะความเครียดเมื่อต้องอยู่คนเดียว

 

5. ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ

หากคุณกังวลเกี่ยวกับเรื่อง สุขภาพหรือเริ่มรู้สึกว่ามีอาการ อารมณ์ที่แสดงถึงการเข้าสู่วัยทอง เช่น อ่อนเพลีย รู้สึกไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรงเหมือนแต่ก่อน นอนหลับไม่เต็มที่ และต้องการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ การเข้าพบบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลสุขภาพของเพศชายโดยตรง จะช่วยให้คุณได้รับคำปรึกษาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการตรวจเลือด ตรวจระดับฮอร์โมน การประเมินความเสี่ยงโรคในอนาคต รวมถึงแนวทางหรือวิธีในการดูแลตัวเองที่ในแต่ละช่วงวัยของตัวเองในระยะยาว

สาเหตุที่ทำให้ผู้ชายเข้าสู่วัยทองเร็วกว่าปกติ

สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้อาการวัยทองในผู้ชายเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ ได้แก่ เรื่องของกรรมพันธุ์ การทำงานหนักเกินไป พักผ่อนไม่เพียงพอ มีความเครียด  รูปร่างอ้วน ชอบดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือมีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคตับ เป็นต้น

 

ซึ่งหากคุณเข้าสู่วัยทองเรียบร้อยแล้ว การรักษาจะขึ้นอยู่กับอาการที่เกิดขึ้นกับแต่ละคน แต่สิ่งที่ควรทำอันดับแรก คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดความเครียด โดยในผู้ป่วยบางรายอาจต้องใช้การรักษาโดยยาเข้ามาร่วมด้วย เช่น การใช้ยาฮอร์โมนเพศชายเสริมแบบต่าง ๆ ที่มีตั้งแต่ ชนิดกิน ชนิดฉีด และชนิดเจลทาผิว ซึ่งผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้งก่อนการใช้ยา เพราะอาจมีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้หากใช้งานไม่ถูกต้อง

 

วัยทองไม่ได้น่ากลัวเท่าที่คิด ถ้าคุณเริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้

ผู้ชายหลาย ๆ คนหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องวัยทอง เพราะกลัวว่าตัวเองจะดูแก่ หรือไม่อยากยอมรับความจริง ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับตัวเอง แต่ในความเป็นจริง มันไม่ใช่โรคที่น่ากลัวอะไร หากคุณเข้าใจและยอมรับการมาถึงของโรคนี้อย่างมีสติ

เพราะถ้าหากคุณดูแลตัวเองและเตรียมความพร้อมในการรับมือได้ดีพอ คุณก็จะสามารถใช้ชีวิตในช่วงวัยทองได้อย่างมีความสุขในทุก ๆ ด้าน



เทรนด์สุขภาพสำหรับผู้ชาย ดูแลสุขภาพดีทั้งภายในและภายนอก

 เทรนด์สุขภาพสำหรับผู้ชาย: ดูแลสุขภาพดีทั้งภายในและภายนอก

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้ชายจำนวนมากเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพ และรูปลักษณ์ของตัวเองอย่างจริงจัง จากเดิมที่เรื่องของการดูแลสุขภาพมักถูกมองว่าเป็นแค่เรื่องของผู้หญิง หรือคนที่มีปัญหาเท่านั้น

แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นเทรนด์นี้กำลังขยายตัวอย่างชัดเจนในกลุ่มผู้ชายวัยทำงาน โดยเฉพาะกลุ่มคนในเมือง ที่มองว่าการดูแลสุขภาพไม่ใช่เรื่องของ “ความหล่อ” เพียงเท่านั้น แต่คือการสร้างสมดุลในชีวิต การทำงาน รวมถึงการเป็นตัวของตัวเองได้อย่างมั่นใจ

นอกจากการออกกำลังกายและการกินอาหารที่ดี ผู้ชายหลาย ๆ คนเริ่มมามองหาบริการทางการแพทย์ที่สามารถช่วยดูแลสุขภาพที่ตรงกับความต้องการของพวกเขามากขึ้น เช่น ด้านฮอร์โมน สมรรถภาพ การฟื้นฟูร่างกาย บุคลิกภาพ สุขภาพเส้นผมและผิวพรรณ ไปจนถึงด้านจิตใจของพวกเขาด้วย โดยบทความนี้จะมาพูดถึงเทรนด์การดูแลสุขภาพที่ผู้ชายยุคใหม่ที่หันมาให้ความสนใจกันมากขึ้น จะมีอะไรบ้าง? ไปดูกัน!

 

การเคารพตัวเอง ที่ไม่ใช่แค่การดูแลตัวเอง

ในอดีต การดูแลตัวเองสำหรับผู้ชาย อาจถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นมากนัก หรือแม้แต่อาจจะดูแปลกตาในสังคมบางกลุ่ม แต่ปัจจุบันในโลกที่เต็มไปด้วยความเครียดและการแข่งขันที่สูงมากขึ้น ผู้ชายเริ่มให้ควาสมสำคัญว่าการดูแลสุขภาพไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือยและไม่จำเป็น แต่คือการเคารพตัวเองวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การนอนหลับให้เพียงพอ หรือการตรวจสุขภาพเป็นประจำ ทุกสิ่งล้วนเป็นการลงทุนให้กับร่างกายและจิตใจของตัวเองในระยะยาวทั้งสิ้น

การดูแลตัวเองในวันนี้จึงไม่ใช่แค่เพื่อความแข็งแรงภายนอก แต่คือการรู้จักภายในของตัวเองไปพร้อม ๆ กัน เข้าใจระดับฮอร์โมน การเผาผลาญ สุขภาพผิวพรรณและเส้นผม ซึ่งมีผลต่อความมั่นใจ และคุณภาพในการใช้ชีวิตในทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะในฐานะผู้นำ ครอบครัว หรือชีวิตการทำงาน

 

การออกกำลังกาย ที่ฟิตทั้งกายและใจ

ปัจจุบันการออกกำลังกายของผู้ชาย ไม่ได้ทำเพื่อรูปลักษณ์ภายนอกเพียงเท่านั้น แต่คือการวิธีดูแลสุขภาพโดยรวม ทั้งร่างกาย จิตใจ และระบบภายในให้มีประสิทธิภาพ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือด การหลั่งฮอร์โมน การทำงานของสมอง การนอนหลับ รวมถึงความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันอีกด้วย

โดยกิจกรรมการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมมีความหลากหลายและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ชายที่แตกต่างกัน เช่น:

  • Weight Training: ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรง และกระตุ้นฮอร์โมนเพศชายตามธรรมชาติ
  • HIIT (High-Intensity Interval Training): เหมาะกับคนมีเวลาจำกัด ต้องการการเผาผลาญและออกกำลังกายแบบเร่งด่วน
  • Cardio (เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ): ช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจให้แข็งแรงและควบคุมระดับไขมัน
  • Mind-Body Exercise เช่น โยคะ หรือการฝึกสมาธิ (Mindfulness): ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ลดความเครียด และปรับสมดุลด้านจิตใจให้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากขาดองค์ประกอบอื่น ๆ ที่จำเป็น เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ และพฤติกรรมการกินที่เหมาะสม เช่น การได้รับโปรตีนที่เหมาะสม การลดน้ำตาล และการนอนอย่างมีคุณภาพอย่างน้อย 6–8 ชั่วโมงต่อวัน

ผู้ชายหลายคนจึงเริ่มหันมาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการดูแลสุขภาพให้เหมาะกับเป้าหมายและจังหวะชีวิตของตัวเอง เพราะสุขภาพที่ดีไม่ได้เกิดจากความพยายามชั่วคราว แต่มาจากการดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอทั้งร่างกายและจิตใจ

 

การตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อป้องกันก่อนที่จะป่วย

ในอดีตผู้ชายจำนวนไม่น้อย ที่จะยอมเข้ารับการตรวจหรือพบแพทย์เมื่อเกิดอาการผิดปกติหรือป่วยก่อนเท่านั้น แต่ในยุคปัจจุบัน เรื่อง “การตรวจสุขภาพเพื่อป้องกันก่อนท่ีจะป่วย หรือ Self-check” กลายเป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชายวัยทำงานที่ต้องเผชิญกับความเครียด ความกดดัน และความเหนื่อยล้าสะสมจากชีวิตประจำวัน

การตรวจสุขภาพประจำปี หรือการประเมินภาวะของร่างกายเชิงลึก สามารถช่วยให้ผู้ชายทุกคนรู้ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นด้านฮอร์โมน สมรรถภาพ ระบบเผาผลาญ หรือแม้แต่สุขภาพผิวและเส้นผม ซึ่งทุกสิ่งล้วนมีผลต่อความมั่นใจและคุณภาพชีวิตทั้งสิ้น โดยเราได้ยกตัวอย่างบริการตรวจสุขภาพเฉพาะทางที่ตอบโจทย์ผู้ชายยุคใหม่ เช่น:

การตรวจระดับฮอร์โมนเพศชาย: ฮอร์โมนเพศชายที่สมดุลมีผลต่อพลังงาน สมรรถภาพ อารมณ์ และการนอน หากเกิดความผิดปกติก็จะสามารถช่วยวางแผนการดูแลร่วมกับแพทย์เฉพาะทางได้อย่างปลอดภัยในการรักษาระดับของฮอร์โมนได้

การประเมินระบบไหลเวียนเลือดและสมรรถภาพโดยรวม: ความผิดปกติในระบบไหลเวียนอาจส่งผลต่อสมรรถภาพทางเพศและความแข็งแรงของร่างกาย การตรวจและฟื้นฟูอย่างเหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างมากเพื่อให้แก้ไขและปรับปรุงพฤติกรรมได้ก่อนที่จะมีอาหารหนักขึ้น

การให้อาหารเสริมทางหลอดเลือด หรือ IV Nutrient Therapy: เป็นการช่วยฟื้นฟูร่างกายจากภาวะอ่อนล้าเรื้อรัง เสริมภูมิคุ้มกัน และปรับสมดุลภายใน โดยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญจะวิเคราะห์ตามความต้องการของแต่ละบุคคลแบบเฉพาะตัว

เวชศาสตร์ฟื้นฟูและชะลอวัย หรือ Anti-aging Medicine: เป็นการตรวจที่เน้นการดูแลสุขภาพจากภายในระดับเซลล์ เพื่อยืดอายุการทำงานของอวัยวะ และรักษาคุณภาพชีวิตให้คงที่ในระยะยาว

การประเมินภาวะความเครียดและสุขภาพจิต: โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานที่มีภาวะเครียดสะสม ซึ่งอาจไม่แสดงอาการชัดเจนมากนัก แต่ส่งผลต่อฮอร์โมน ภูมิคุ้มกัน และการนอนหลับ ซึ่งการตรวจภาวะเหล่านี้จะช่วยให้แก้ปัญหาเบื้องต้นได้อย่างทันท่วงที

เทรนด์ของการตรวจสุขภาพเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ชายยุคใหม่ไม่ได้รอให้ป่วยก่อน ถึงจะเริ่มปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือดูแลตัวเองอีกต่อไป แต่เลือกที่จะดูแลตัวเองตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของวัย ผ่านการดูแลที่ปลอดภัย เป็นระบบ และผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ดูแลอย่างเหมาะสม

 

การดูแลตัวเอง เป็นเป้าหมายชีวิตที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับผู้ชายในปัจจุบัน

คำว่า “ดูแลตัวเอง” อาจฟังดูง่ายและธรรมดาสำหรับบางคน แต่สำหรับบางคน มันคือการตัดสินใจที่จริงจังสำหรับผู้ชาย ที่เราจะต้องเริ่มทำในชีวิตประจำวัน เช่น การตื่นและนอนให้ตรงเวลา ออกกำลังกายเป็นประจำแม้งานจะท่วมท้น หรือกินอาหารรักษาสุขภาพแม้จะเหนื่อยล้าและอยากกินของอร่อย ๆ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล็กที่ใคร ๆ ก็จะทำได้

การออกแบบชีวิตด้วยตัวเอง หรือ Self-Care จึงไม่ใช่แค่เรื่องของสุขภาพกายเท่านั้น แต่คือการออกแบบการชีวิตในแบบที่เราสามารถควบคุมได้ด้วยตัวเอง การพักผ่อนให้เพียงพอ หลักเลี่ยงพฤติกรรมที่จะเป็นการทำร้ายตัวเองเล็ก ๆ น้อย ๆ และรู้ว่าเมื่อไรควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางสุขภาพ

แม้การรักตัวเองของผู้ชายอาจเราอาจจะไม่ค่อยได้ยินออกมาเป็นคำพูดมากนัก แต่พวกเขามักจะชัดเจนในการกระทำอยู่เสมอ ทั้งหมดนี้ คือ Self-Care และสะท้อนถึงการเคารพตัวเองอย่างแท้จริง

การมองหาคลินิกที่ใช่ ที่เข้าใจความต้องการของผู้ชายอย่างแท้จริง

คลินิกเฉพาะทางสำหรับผู้ชายในปัจจุบันได้พัฒนาไปมากกว่าการเป็นแค่ คลินิกที่รักษาอาการเจ็บป่วยเพียงเท่านั้น แต่กลายเป็นสถานที่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้ชายแบบเฉพาะบุคคล ทั้งในด้าน สุขภาพร่างกาย จิตใจ และรูปลักษณ์ภายนอก

สิ่งที่ทำให้คลินิกเหล่านี้แตกต่างจากคลินิกทั่ว ๆ ไป  คือ การออกแบบประสบการณ์การรักษาที่เฉพาะตัว (Personalized Care) ตั้งแต่ การวิเคราะห์สุขภาพเป็นรายบุคคล การประเมินระดับฮอร์โมน ความเครียด และการนอนหลับ ไปจนถึงคำแนะนำเรื่องการกิน โภชนาการและการฟื้นฟูร่างกายที่เหมาะสมกับการใช้ชีวิตของแต่ละคน

โดยบริการที่เรามักพบได้บ่อยในคลินิกสำหรับผู้ชาย เช่น

  • โปรแกรมวิเคราะห์สุขภาพของผู้ชายทั้งระบบ
  • การดูแลฮอร์โมน สมรรถภาพ และภาวะการไหลเวียนเลือด
  • การดูแลผิวพรรณ เส้นผมและรูปลักษณ์ที่เป็นธรรมชาติ
  • คำแนะนำด้านการกิน โภชนาการ การออกกำลังกาย และการพักฟื้นร่างกาย
  • การติดตามผลสุขภาพและปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาหรือดูแลสุขภาพ แพทย์

และหลาย ๆ คลินิกยังให้ความสำคัญกับบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ความเป็นส่วนตัว และป็นกันเองเพื่อให้ผู้ชายสามารถพูดคุยหรือขอคำปรึกษาได้อย่างเปิดเผยมากขึ้น โดยไม่รู้สึกว่าการเข้าคลินิกสำหรับผู้ชายเป็นเรื่องที่น่ากลัว รวมถึงการมองหาสถานที่ที่เข้าถึงง่ายในการใช้บริการอีกด้วย

 

มาเริ่มต้นดูแลตัวเองวันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาวแบบยั่งยืน

การดูแลสุขภาพของผู้ชายในยุคนี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ “เทรนด์” อีกต่อไป แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิดในการใช้ชีวิต ที่สะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อตัวเองและคนรอบข้าง การออกกำลังกาย การกินอาหารที่ดี การนอนหลับให้เพียงพอ หรือแม้แต่การเข้ารับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญอย่างเหมาะสม ล้วนเป็นการลงทุนเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นในวันข้างหน้าในระยะยาว

การมีสุขภาพที่ดีไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ แต่เกิดจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันให้ดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยใด การเริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ คือสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งการทำงาน ความสัมพันธ์ ครอบครัว และความสุขในการใช้ชีวิตประจำวัน



การขริบอวัยวะเพศชายคืออะไร? ข้อมูลสุขภาพที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ

การขริบอวัยวะเพศชายคืออะไร?

ข้อมูลสุขภาพที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ

การขริบคืออะไร?

การขริบอวัยวะเพศชาย (Circumcision) คือ หัตถการทางการแพทย์อย่างหนึ่งที่ทำโดยการตัดหนังหุ้มปลายของอวัยวะเพศชายบางส่วนหรือทั้งหมดออก โดยทั่วไปแล้วการขริบสามารถทำได้ในหลายช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นทารก วัยเด็ก วัยรุ่น หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่ ขึ้นอยู่กับเหตุผลส่วนบุคคลหรือคำแนะนำทางการแพทย์

ในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก การขริบถือเป็นพิธีกรรมหรือธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน แต่ในมุมมองทางการแพทย์ การขริบมักถูกพิจารณาเมื่อมีปัญหาสุขภาพ เช่น ภาวะหนังหุ้มปลายตีบ (Phimosis) หรือการติดเชื้อซ้ำ ๆ ที่บริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบไม่ผ่าตัด

การขริบถือเป็นหัตถการผ่าตัดเล็ก โดยมักใช้ยาชาเฉพาะที่ และมีระยะเวลาพักฟื้นไม่นาน แต่ก็จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมภายใต้คำแนะนำของบุคลากรทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

 

เหตุผลทางการแพทย์ของการขริบ มีอะไรบ้าง?

แม้ว่าหลายคนจะรู้จักการขริบในฐานะประเพณีหรือวัฒนธรรม แต่จริง ๆ แล้วก็มีเหตุผลทางการแพทย์ที่ทำให้แพทย์บางรายแนะนำให้ผู้ป่วยพิจารณาการขริบในบางกรณี โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีปัญหาเกี่ยวกับอวัยวะเพศดังนี้

 

1. ภาวะหนังหุ้มปลายตีบ (Phimosis)

ภาวะหนังหุ้มปลายตีบ (Phimosis) คือ หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศไม่สามารถรูดเปิดได้ตามปกติ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดระหว่างการปัสสาวะ หรือแม้แต่การมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ หนังหุ้มที่ปิดแน่นเกินไป ยังอาจทำให้เกิดการสะสมของเชื้อโรคและสิ่งสกปรก ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อนหรือการอักเสบเรื้อรังได้

 

2. การอักเสบเรื้อรังบริเวณปลายอวัยวะเพศ

ผู้ชายบางรายอาจมีประวัติของการอักเสบบริเวณปลายอวัยวะเพศซ้ำ ๆ โดยเฉพาะหากคุณไม่สามารถดูแลความสะอาดบริเวณดังกล่าวได้ดีเพียงพอ การขริบจึงอาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยลดการสะสมของคราบสกปรกและเชื้อโรค ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ

 

3. ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTI)

มีรายงานทางการแพทย์หลายชิ้นที่ชี้ว่าทารกเพศชายที่ไม่ได้ขริบมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในช่วงปีแรกสูงกว่าทารกที่ได้รับการขริบ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงนี้มักลดลงเมื่อเติบโตขึ้น

 

4. ส่งเสริมการดูแลสุขอนามัยที่ง่ายขึ้น

สำหรับผู้ชายบางคน การขริบช่วยให้สามารถดูแลความสะอาดของอวัยวะเพศได้ง่ายและทั่วถึงมากขึ้น ลดการสะสมของแบคทีเรีย และสารคัดหลั่งที่อาจเป็นสาเหตุของกลิ่นไม่พึงประสงค์หรือการอักเสบในระยะยาว

 

ประโยชน์ด้านสุขภาพและสุขอนามัยของการขริบ

การขริบอวัยวะเพศชายไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาโรค แต่สามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวมในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงบางประการ โดยประโยชน์ของการขริบที่พบได้ทั่วไป ได้แก่:

  • ช่วยให้ทำความสะอาดอวัยวะเพศได้ง่ายและทั่วถึงยิ่งขึ้น: โดยเฉพาะในผู้ชายที่มีหนังหุ้มปลายยาวหรือมีแนวโน้มเกิดความชื้นสะสมบริเวณดังกล่าว ซึ่งอาจทำให้ทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึง
  • ลดการสะสมของเชื้อโรคและแบคทีเรีย: การไม่มีหนังหุ้มปลายทำให้โอกาสการสะสมของเชื้อโรคลดลง และลดโอกาสของการเกิดกลิ่นอับหรืออาการระคายเคือง
  • ลดความเสี่ยงการติดเชื้อบางชนิด: มีงานวิจัยบางชิ้นที่รายงานว่า การขริบอาจช่วยลดโอกาสการติดเชื้อบางชนิดที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (เช่น HPV และ HIV) ได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีอัตราการติดเชื้อสูง อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังอยู่ในกระบวนการศึกษาเพิ่มเติม
  • ช่วยลดความถี่ของการอักเสบ: โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชายที่มีประวัติการอักเสบ หรือการติดเชื้อซ้ำซ้อนในอดีต

📌 หมายเหตุ: ประโยชน์ที่กล่าวมานี้เป็นข้อมูลทั่วไป ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่ขริบจะปลอดภัยจากการติดเชื้อหรือปัญหาสุขภาพทั้งหมด การตัดสินใจควรพิจารณาจากคำแนะนำของแพทย์

 

การขริบเหมาะกับใคร?

การขริบอวัยวะเพศชายสามารถทำได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แม้ว่าการขริบจะมีข้อดีหลายประการ แต่ไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสำหรับทุกคน มีบางกรณีที่อาจพิจารณาได้ว่าการขริบเป็นทางเลือกที่เหมาะสม โดยการพิจารณาเหตุผลควรอยู่บนพื้นฐานของสุขภาพร่างกาย เหตุผลและความเหมาะสมเฉพาะบุคคล เช่น:

  • เด็กทารกที่ผู้ปกครองต้องการให้ดำเนินการตามความเชื่อทางศาสนา หรือวัฒนธรรมประจำครอบครัว
  • ผู้ชายวัยผู้ใหญ่ที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับหนังหุ้มปลาย เช่น ตีบ ติดเชื้อ อักเสบเรื้อรัง
  • ผู้ที่มีปัญหาในการดูแลสุขอนามัย มีภาวะอักเสบเรื้อรังบริเวณปลายอวัยวะเพศ หรือมีประวัติของการติดเชื้อซ้ำซ้อน
  • ผู้ที่ปรึกษาแพทย์และได้รับคำแนะนำว่าการขริบอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับสุขภาพเฉพาะบุคคล

ขั้นตอนการขริบและวิธีการฟื้นฟูหลังขริบ

โดยทั่วไป การขริบเป็นหัตถการขนาดเล็กที่ใช้เวลารวดเร็ว และมีระยะฟื้นตัวไม่นาน แต่ต้องดำเนินการโดยบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ โดยมีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้:

  1. การประเมินสุขภาพก่อนขริบ: แพทย์จะทำการตรวจร่างกายเบื้องต้น ซักประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว และประเมินความเหมาะสมของผู้เข้ารับการขริบ
  2. การให้ยาชา: ในผู้ใหญ่ มักใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อให้ไม่รู้สึกเจ็บขณะทำหัตถการ ส่วนในเด็กอาจใช้ยาระงับความรู้สึกตามความเหมาะสม
  3. การตัดหนังหุ้มปลาย: โดยใช้เครื่องมือหรือเทคนิคเฉพาะให้เหมาะกับแต่ละช่วงวัย ในการตัดหนังหุ้มปลายออก โดยใช้ระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 30–60 นาที
  4. การเย็บแผลหรือการปิดแผล: อาจใช้ไหมละลายหรือวัสดุที่ไม่ต้องตัดไหม ขึ้นอยู่กับวิธีการผ่าตัด
  5. การติดตามอาการหลังผ่าตัดและพักฟื้น: หลังจากผ่าตัดเสร็จ แพทย์จะให้คำแนะนำเรื่องการดูแลแผล การใช้ยา และระยะเวลาพักฟื้น ซึ่งโดยทั่วไปแผลจะเริ่มแห้งภายใน 5–7 วัน และหายดีภายใน 2–4 สัปดาห์ โดยอาจใช้เวลานานกว่านั้นขึ้นกับสภาพร่างกายของแต่ละคน

การดูแลตนเองหลังขริบ

การดูแลหลังการขริบอย่างเหมาะสม ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ดังนี้:

  • รักษาความสะอาดแผลตามคำแนะนำของแพทย์ โดยล้างแผลเบา ๆ ด้วยน้ำสะอาด หลีกเลี่ยงการใช้สบู่หรือสารที่อาจระคายเคือง
  • หลีกเลี่ยงการออกแรง การกระแทก การยืน-นั่งนาน เพื่อลดการเสียดสี และควรสวมใส่กางเกงในหลวม ๆ หลีกเลี่ยงการกดทับบริเวณแผล 
  • งดกิจกรรมทางเพศชั่วคราวจนกว่าแผลจะหายดี เพื่อให้แผลมีเวลาฟื้นตัวอย่างเหมาะสม โดยทั่วไปอาจใช้เวลาประมาณ 2–4 สัปดาห์
  • หมั่นสังเกตอาการผิดปกติ เช่น บวมมาก แดงรุนแรง มีหนอง มีไข รู้สึกเจ็บรุนแรง หรือมีเลือดออกผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที

ข้อควรรู้และข้อควรระวังที่อาจพบได้

แม้ว่าการขริบจะเป็นหัตถการขนาดเล็ก แต่การขริบก็มีความเสี่ยงเช่นเดียวกับการผ่าตัดอื่น ๆ เช่น:

  • แผลหายช้ากว่าปกติ หรือมีการติดเชื้อ
  • อาการบวม แดง หรือมีรอยช้ำบริเวณแผล
  • ความไม่สมมาตรของเนื้อเยื่อที่อาจเกิดขึ้น
  • ปัญหาทางความรู้สึกในบางราย เช่น รู้สึกตึง ไม่สบายบริเวณปลายอวัยวะเพศ อาการระคายเคืองหรือเสียวปลายอวัยวะเพศในช่วงแรก

เพื่อความปลอดภัย การขริบควรทำภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ เลือกสถานพยาบาลที่มีมาตรฐาน และการดูแลแผลอย่างถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้อย่างมาก

การตัดสินใจขริบอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล

การขริบอวัยวะเพศชายเป็นหัตถการทางการแพทย์ที่ควรตัดสินใจโดยอิงจากข้อมูลที่ถูกต้อง และคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สำหรับบางคนอาจเป็นทางเลือกที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพและความสะดวกในการดูแลตนเอง แต่ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกคน

หากคุณมีข้อสงสัยหรือกำลังพิจารณาว่าการขริบเหมาะกับตนเองหรือไม่ ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อประเมินอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย



6 วิตามินและแร่ธาตุสำหรับผู้ชาย ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ

6 วิตามินและแร่ธาตุสำหรับผู้ชาย ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ

ในชีวิตประจำวันของผู้ชายยุคใหม่ ความเครียดจากการทำงาน การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม ล้วนเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางเพศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะ “สมรรถภาพทางเพศลดลง” หรือที่เรียกว่า Erectile Dysfunction (ED) ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ในช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป

สิ่งหนึ่งที่มักถูกมองข้ามคือ “ภาวะขาดวิตามินหรือแร่ธาตุที่จำเป็น” ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการผลิตฮอร์โมนเพศชาย เทสโทสเตอโรน (Testosterone) การไหลเวียนของเลือด และระดับพลังงานในร่างกาย ในบทความนี้ เราจะพาคุณมารู้จักกับ 6 วิตามินสำหรับผู้ชาย ที่มีบทบาทสำคัญต่อการเสริมสมรรถภาพทางเพศ พร้อมคำอธิบายทางการแพทย์และแหล่งอาหารที่ควรบริโภค

 

1. Zinc (สังกะสี)

Zinc หรือ สังกะสี เป็นแร่ธาตุจำเป็นที่มีบทบาทโดยตรงต่อการผลิตฮอร์โมนเพศชายอย่าง เทสโทสเตอโรน (Testosterone) โดยช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์อสุจิ ส่งเสริมความต้องการทางเพศ (Libido) และมีผลต่ออารมณ์ทางเพศของผู้ชายโดยเฉพาะ หากร่างกายขาด Zinc เป็นเวลานาน อาจทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลง และส่งผลต่อคุณภาพการแข็งตัวของอวัยวะเพศ

นอกจากนั้น Zinc ยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ฟื้นฟูผิวหนัง และบำรุงผม ขน เล็บ ให้แข็งแรง

แหล่งอาหารที่มี Zinc สูง ได้แก่ อาหารทะเล (โดยเฉพาะหอยนางรม) ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วเปลือกแข็ง ตับ และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน สำหรับผู้ชายที่ไม่สามารถได้รับจากอาหารเพียงพอ การเสริมด้วย Zinc ในรูปแบบอาหารเสริมอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม แต่ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์

 

2. Vitamin D

Vitamin D ไม่ได้มีหน้าที่แค่ช่วยดูดซึมแคลเซียมเพื่อบำรุงกระดูกเพียงเท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมระดับฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนในกระแสเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ มีงานวิจัยจาก Journal of Clinical Endocrinology พบว่า ผู้ชายที่มีระดับ Vitamin D ต่ำ มีแนวโน้มจะมีเทสโทสเตอโรนต่ำและเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ ED หรือ การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ มากกว่าคนที่มีระดับ Vitamin D ปกติ

Vitamin D ยังช่วยลดอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง เพิ่มพลังงาน และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบประสาท ซึ่งช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ดีขึ้น

แหล่งสารอาหารจากธรรมชาติที่มี Vitamin D ได้แก่ แสงแดดยามเช้า (ก่อน 9 โมงเช้า), ไข่แดง, ตับ, ปลาที่มีไขมันสูง เช่น แซลมอน และทูน่า 

 

3. Vitamin B-complex (B3, B6, B12)

Vitamin B-complex (โดยเฉพาะ B3, B6, B12) เป็นกลุ่มวิตามินที่มีความสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และระบบฮอร์โมน เสริมในเรื่องของสมรรถภาพของผู้ชาย โดยเฉพาะ:

  • Vitamin B3 (Niacin): ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ขยายหลอดเลือด ซึ่งช่วยในการแข็งตัวของอวัยวะเพศ
  • Vitamin B6: มีหน้าที่ในการควบคุมสมดุลฮอร์โมนเพศ และช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียด (Cortisol)
  • Vitamin B12: เพิ่มพลังงาน ลดความเหนื่อยล้า เพิ่มความกระปรี้กระเปร่าให้ร่างกาย และมีผลต่อสมรรถภาพทางเพศ

หากได้รับไม่เพียงพอ อาจส่งผลให้มีอาการอ่อนเพลีย ระบบประสาทอ่อนล้า อารมณ์แปรปรวน และความต้องการทางเพศลดลง

แหล่งอาหารของ Vitamin B-complex มักพบในเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน, ตับ, ปลา, ไข่, นม, โยเกิร์ต และซีเรียลเสริมวิตามิน

 

4. Magnesium (แมกนีเซียม)

Magnesium (แมกนีเซียม) เป็นแร่ธาตุที่มักถูกมองข้าม แต่เป็นแร่ธาตุที่ช่วยให้กล้ามเนื้อและระบบประสาทผ่อนคลาย สนับสนุนระบบประสาทให้ทำงานได้อย่างสมดุล ลดความเครียดสะสม และยังมีหน้าที่ในการเสริมประสิทธิภาพของเซลล์ต่อการตอบสนองต่อฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการรักษาสมรรถภาพทางเพศ และสมดุลฮอร์โมนในผู้ชาย

บางการวิจัยพบว่า ผู้ชายที่ได้รับแมกนีเซียมในระดับที่เหมาะสม มีแนวโน้มจะมีระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) สูงกว่ากลุ่มที่ขาดสารนี้ แหล่งอาหารของแมกนีเซียมสามารถพบได้ในผักใบเขียวเข้ม เมล็ดธัญพืช อะโวคาโด เมล็ดฟักทอง ถั่วเปลือกแข็ง และดาร์กช็อกโกแลต

 

5. L-Arginine (กรดอะมิโนชนิดหนึ่ง)

 

L-Arginine กรดอะมิโนที่ช่วยกระตุ้นการผลิตไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide หรือ NO) ซึ่งมีผลต่อการขยายหลอดเลือด ส่งเสริมการไหลเวียนเลือดไปยังอวัยวะเพศ ทำให้การแข็งตัวมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

โดยงานวิจัยหลายชิ้นมักใช้ L-Arginine ร่วมกับสารสกัดจากโสมหรือ Pycnogenol เช่น สารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศส เพื่อเสริมฤทธิ์และเพิ่มประสิทธิภาพในการฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายที่มีปัญหา ED ระดับเริ่มต้นได้ หรือพบได้ในเนื้อสัตว์ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง และอาหารเสริมเฉพาะกลุ่ม

 

6. Vitamin E

Vitamin E มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากการเสื่อมสภาพ และชะลอความเสื่อมของหลอดเลือด ส่งผลให้ระบบการไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการแข็งตัว สมรรถภาพทางเพศของผู้ชาย และความทนทานระหว่างกิจกรรมทางเพศ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีปัญหาเลือดไหลเวียนไม่ทั่วถึงหรือหลอดเลือดเสื่อมตามวัย

สำหรับผู้ชายวัยกลางคนขึ้นไปที่มีความเสื่อมของหลอดเลือด Vitamin E อาจช่วยชะลอกระบวนการเหล่านี้ และเสริมความแข็งแรงโดยรวมให้กับระบบไหลเวียนเลือด โดย Vitamin E สามารถพบได้ใน น้ำมันพืช ธัญพืชไม่ขัดสี เมล็ดทานตะวัน อะโวคาโด และผักโขม

 

สมุนไพรธรรมชาติที่นิยมใช้ในอาหารเสริมของผู้ชาย

อาหารเสริมสำหรับผู้ชายในปัจจุบันมักผสมวิตามินและแร่ธาตุร่วมกับสารสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ ซึ่งมีงานวิจัยรองรับถึงคุณสมบัติในการส่งเสริมสมรรถภาพทางเพศ และช่วยฟื้นฟูสมดุลฮอร์โมนเพศชาย ดังนี้:

วิตามินเหล่านี้มักถูกรวมไว้ใน “อาหารเสริมสำหรับผู้ชาย” ซึ่งอาจเสริมด้วยสารสกัดจากสมุนไพรที่มีงานวิจัยรองรับ เช่น:

  • โสมเกาหลี (Korean Ginseng): สมุนไพรที่มีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนเลือด เสริมพละกำลัง และเพิ่มความทนทานทางร่างกาย มีงานวิจัยบางชิ้นระบุว่าโสมอาจช่วยเพิ่มคุณภาพการแข็งตัวของอวัยวะเพศ และลดอาการอ่อนเพลียในผู้ชายที่มีภาวะฮอร์โมนต่ำ
  • ถั่งเช่า (Cordyceps): เห็ดสมุนไพรที่ใช้ในแพทย์แผนจีนมายาวนาน ช่วยกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน เพิ่มพลังงานระดับเซลล์ และอาจช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายที่มีภาวะอ่อนล้าเรื้อรัง
  • มาคา (Maca): พืชสมุนไพรจากเปรูที่นิยมในกลุ่มชายวัยทำงาน มีฤทธิ์กระตุ้นความต้องการทางเพศ (Libido) และเพิ่มความอึดทนระหว่างกิจกรรมทางเพศ ทั้งยังอาจช่วยลดภาวะความเครียดสะสมซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของ ED
  • กระชายดำ (Black Ginger): สมุนไพรพื้นบ้านของไทยที่ได้รับความสนใจในระดับงานวิจัย มีสารฟลาโวนอยด์และสารสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูการทำงานของหลอดเลือด โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศชาย ส่งผลให้การแข็งตัวมีประสิทธิภาพและยาวนานมากขึ้น

📌 หมายเหตุ: สมุนไพรเหล่านี้ไม่ใช่ “ยาออกฤทธิ์เฉียบพลัน” แต่สามารถช่วยฟื้นฟูระบบไหลเวียน และสมดุลฮอร์โมนเพศได้ในระยะยาว โดยแนะนำให้ใช้ต่อเนื่องควบคู่กับการดูแลสุขภาพองค์รวม และควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองจาก อย. หรือปรึกษาแพทย์ก่อนใช้โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว

 

สำหรับผู้ชายที่เริ่มมีภาวะ ED (Erectile Dysfunction) หรือสมรรถภาพทางเพศเสื่อม

ในระยะเริ่มต้นของภาวะสมรรถภาพทางเพศเสื่อม หรือ ED ผู้ชายหลายคนอาจยังไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษาโดยตรง แต่สามารถดูแลฟื้นฟูได้ด้วยการปรับพฤติกรรมร่วมกับการเสริมวิตามินหรือแร่ธาตุสำคัญ โดยเฉพาะในกรณีที่ตรวจพบว่าร่างกายมีภาวะขาดสารอาหารหรือฮอร์โมนเพศชายต่ำกว่าปกติ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะฮอร์โมนเพศต่ำและการเสื่อมสมรรถภาพ ได้แก่:

  • อายุที่เพิ่มขึ้น (โดยเฉพาะหลังอายุ 40 ปี)
  • ความเครียดเรื้อรัง หรือภาวะวิตกกังวลสะสม
  • การพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลต่อการฟื้นฟูของระบบฮอร์โมน
  • พฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล เช่น ขาดสังกะสี วิตามิน D หรือ B-complex

ดังนั้นการเสริมวิตามิน เช่น Zinc, Vitamin D, B-complex, Magnesium และกรดอะมิโนอย่าง L-Arginine อาจมีส่วนช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศโดยส่งเสริมการไหลเวียนเลือด และกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในร่างกาย

นอกจากนี้ ยังมีฮอร์โมนจากธรรมชาติอย่าง DHEA (Dehydroepiandrosterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากต่อมหมวกไต มีบทบาทในการสนับสนุนสมรรถภาพทางเพศและการทำงานของระบบฮอร์โมนโดยรวม โดยเฉพาะในผู้ชายที่ระดับ DHEA ลดลงตามวัย

อย่างไรก็ตาม การใช้ DHEA ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำและการติดตามผลโดยแพทย์เท่านั้น เนื่องจากการใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสมอาจมีผลข้างเคียงต่อระบบต่อมไร้ท่อหรือสุขภาพโดยรวม

 

 📌 หมายเหตุ

  • ข้อมูลในบทความนี้อ้างอิงจาก งานวิจัยทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้ เช่น PubMed, National Institutes of Health (NIH) และ Journal of Sexual Medicine
  • วิตามินและอาหารเสริมที่กล่าวถึง มีบทบาทในการสนับสนุนการทำงานของระบบฮอร์โมนเพศ และระบบไหลเวียนโลหิต ซึ่งอาจช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศได้ในบางกรณี
  • วิตามินและสมุนไพรที่กล่าวมา ‘ไม่ใช่ยา’ และ ‘ไม่สามารถใช้ทดแทนการรักษาทางการแพทย์’ สำหรับภาวะสมรรถภาพทางเพศเสื่อมหรือโรคอื่น ๆ ได้โดยตรง
  • แนะนำให้ ตรวจสุขภาพและประเมินระดับฮอร์โมน กับแพทย์เฉพาะทางก่อนเริ่มรับประทานอาหารเสริมหรือวิตามิน โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือใช้ยารักษาโรคเป็นประจำ เพื่อความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

Testosterone คืออะไร? ฮอร์โมนเพศชายตัวท็อปที่มีผลต่อสุขภาพในทุกมิติ

เทสโทสเตอโรน (Testosterone) คืออะไร?

เทสโทสเตอโรน (Testosterone) คือ ฮอร์โมนเพศชายที่ผลิตโดยอัณฑะของผู้ชาย และในรังไข่ของผู้หญิงแต่ผลิตในปริมาณที่น้อยกว่า รวมถึงในต่อมหมวกไตของทั้งสองเพศด้วย เทสโทสเตอโรนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาลักษณะทางเพศและการทำงานของร่างกายหลายด้านจะมีอะไรบ้าง? ไปดูกัน!

 

ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ทำหน้าที่อะไร?

ในผู้ชาย:
  • การพัฒนาความเป็นผู้ชาย: ช่วยให้ร่างกายผู้ชายเปลี่ยนแปลงเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น เช่น อวัยวะเพศเติบโตขึ้น เสียงแตก มีขนขึ้นตามร่างกายและใบหน้า
  • สร้างกล้ามเนื้อและความแข็งแรง: ช่วยส่งเสริมการสร้างโปรตีนให้กับร่างกาย ทำให้ผู้ชายมีกล้ามเนื้อที่ใหญ่และแข็งแรงกว่าผู้หญิงโดยธรรมชาติ
  • ดูแลกระดูกให้แข็งแรง: มีส่วนช่วยในการรักษาความแข็งแรงและความหนาแน่นของกระดูก และลดความเสี่ยงของภาวะกระดูกบางหรือกระดูกพรุนได้
  • ช่วยในการผลิตอสุจิ: เป็นฮอร์โมนหลักที่จำเป็นต่อร่างกาย ในการผลิตอสุจิที่สมบูรณ์และมีคุณภาพ
  • เพิ่มความต้องการทางเพศ: มีผลอย่างมากต่อความต้องการทางเพศและสมรรถภาพทางเพศ และช่วยให้การทำงานทางเพศเป็นปกติ
  • ส่งผลต่อพลังงานและอารมณ์: ถ้า เทสโทสเตอโรน (Testosterone) อยู่ในระดับที่เหมาะสมผู้ชายจะรู้สึกกระฉับกระเฉง สดชื่น อารมณ์ดี แต่ถ้าต่ำเกินไป อาจรู้สึกเหนื่อยง่าย หงุดหงิด หรือซึมเศร้าได้
ในผู้หญิง:

แม้ผู้หญิงจะมีเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ในปริมาณน้อยกว่าผู้ชายมาก แต่ฮอร์โมนนี้ก็ยังมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพของผู้หญิงในหลายด้าน เช่น

  • ความต้องการทางเพศ: ช่วยกระตุ้นความรู้สึกทางเพศและความพึงพอใจทางเพศในผู้หญิง
  • พลังงานและอารมณ์: ช่วยให้รู้สึกกระฉับกระเฉง อารมณ์ดี และลดความรู้สึกเหนื่อยล้า
  • ดูแลกระดูกให้แข็งแรง: มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างและรักษามวลกระดูก ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะกระดูกบางหรือกระดูกพรุนได้

สาเหตุและผลกระทบเมื่อเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ผิดปกติมีอะไรบ้าง?

ระดับของเทสโทสเตอโรน (Testosterone) สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามอายุ พฤติกรรมการใช้ชีวิต และปัญหาสุขภาพต่าง ๆ หากระดับฮอร์โมนนี้สูงหรือต่ำเกินไป อาจส่งผลต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ ดังนี้

 

ระดับต่ำกว่าปกติ

ในผู้ชายหากระดับเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ต่ำกว่าปกติ อาจนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น:

  • ความต้องการทางเพศลดลง
  • เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง
  • มวลกล้ามเนื้อลดลง ไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้น
  • ความหนาแน่นของกระดูกลดลง เสี่ยงกระดูกพรุน
  • อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดหรือซึมเศร้า

สาเหตุที่เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ต่ำกว่าปกติ อาจเกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้น (ซึ่งเป็นเรื่องปกติ) โรคเรื้อรัง การใช้ยาบางชนิด หรือปัญหาที่อัณฑะ

ระดับสูงกว่าปกติ:

ในผู้ชาย: โดยทั่วไปการมีเทสโทสเตอโรน (Testosterone) สูงเกินไปตามธรรมชาตินั้นพบไม่บ่อย แต่หากมีการใช้สารสังเคราะห์ เช่น สเตียรอยด์เพื่อเพิ่มฮอร์โมน อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเช่น:

  • ปัญหาหัวใจและหลอดเลือด
  • ตับมีปัญหา ตับวาย
  • ปัญหาด้านพฤติกรรม เช่น อารมณ์รุนแรงและพฤติกรรมก้าวร้าว

ในผู้หญิง: หากระดับเทสโทสเตอโรนสูงเกินไป อาจนำไปสู่ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS) ทำให้เกิดอาการ เช่น:

  • ขนขึ้นผิดปกติตามใบหน้าและร่างกาย
  • ผิวมัน เป็นสิว
  • ประจำเดือนมาไม่ปกติ

วิธีการรักษาระดับเทสโทสเตอโรน (Testosterone)ให้สมดุล

การรักษาระดับเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ให้สมดุลเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจ โดยสามารถดูแลได้ด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้

  • ออกกำลังกายเป็นประจำ: โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบใช้แรงต้าน เช่น การยกเวท (Weight Training) ซึ่งช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมน
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เลือกอาหารที่มีโปรตีนสูง วิตามินดี และสังกะสี ซึ่งล้วนมีส่วนช่วยในการสร้างฮอร์โมน
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนอย่างน้อย 7–8 ชั่วโมงต่อคืน ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนได้ดีขึ้น
  • ลดความเครียด: ความเครียดสะสมสามารถส่งผลให้ระดับเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ลดลงได้
  • ควบคุมน้ำหนัก: ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนมีความเกี่ยวข้องกับระดับเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ที่ต่ำ

หากคุณมีอาการที่สงสัยว่าอาจเกิดจากความไม่สมดุลของระดับเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจเลือดและประเมินระดับฮอร์โมนอย่างแม่นยำ รวมถึงรับคำแนะนำการรักษาที่เหมาะสม

 

ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) จึงไม่ใช่ฮอร์โมนเพศชายเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นฮอร์โมนสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจของทั้งผู้ชายและผู้หญิง มีบทบาทต่อหลายระบบในร่างกาย และเป็นองค์ประกอบที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตโดยรวมให้ดียิ่งขึ้น



ทำ Shockwave จำนวนกี่ Shot ถึงจะเห็นผล ?

ทำ Shockwave จำนวนกี่ Shot ถึงจะเห็นผล ?

เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยว่าการทำ Shockwave Therapy จำนวน Shot เท่าไหร่ถึงเห็นผลลัพธ์ หลายคนอาจจะคิดว่าการที่ได้จำนวน Shot ที่เยอะจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า แต่ความจริงแล้วจำนวน Shot ที่เหมาะสมกับบุคคลระดับปัญหาภาวะ ED รวมไปถึงการตั้งค่าพลังงานที่แม่นยำ ซึ่งไม่ใช่แค่จำนวนที่เยอะจะได้ผลดีเสมอไปนะครับ

🔎 ตามงานวิจัยแล้วควรทำกี่ Shot?

จากการรวบรวมงานวิจัยในปี 2025 นี้พบว่าโดยเฉลี่ยแล้วการทำ Low-intensity Shockwave Therapy  เพื่อรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพ ภาวะ ED มีการใช้จำนวนช็อตตั้งแต่ระหว่าง 1,500 – 3,000 Shot ต่อครั้งก็ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพได้

#shockwave #สุขภาพเพศชาย #mclinic #clinicformenbangkok #รีวิวMClinic
#shockwave #สุขภาพเพศชาย #mclinic #clinicformenbangkok #รีวิวMClinic
#shockwave #สุขภาพเพศชาย #mclinic #clinicformenbangkok #รีวิวMClinic
#shockwave #สุขภาพเพศชาย #mclinic #clinicformenbangkok #รีวิวMClinic

✅ ทำ “พอดี” ถึงจะเห็นผล

หากการทำ Shockwave ด้วยจำนวน Shot ที่เหมาะสมพอดีกับผู้เข้ารับบริการ จะช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดใหม่ได้ดี มีประสิทธิภาพของการไหลเวียนเลือด และฟื้นฟูสมรรถภาพช่วงล่างได้อย่างมั่นใจโดยไม่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บหรือผลข้างเคียงที่เกิดจากการทำจำนวนที่เยอะเกินความจำเป็น

 

❌ ยิ่งเยอะ ไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป

ที่หลายคนเข้าใจผิดได้ว่าการทำเยอะไว้ก่อนจะเห็นผลดีกว่าแต่ในความเป็นจริงแล้วหากจำนวน shot ที่เกินพอดีและยังไม่ได้มีการตั้งค่าพลังงานที่เหมาะสมกับ ผู้เข้ารับบริการอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดีได้ไม่ว่าจะการบาดเจ็บจากการที่ใช้จำนวนช็อตที่มากเกินไปรวมถึงผลลัพธ์ที่ไม่ได้เลยหากใช้จำนวนช็อตที่น้อยเกินไป

 

มากเกินไป : การยิงคลื่นมากเกินไปอาจทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นเกิดการอักเสบหรือบาดเจ็บได้และส่งผลในการใช้งานได้และอาจจะต้องหยุดพักก่อน

 

น้อยเกินไป : การยิงคลื่นจำนวน Shot ที่น้อยเกินไปอาจไม่ได้ส่งเสริม กระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูได้เต็มที่อย่างที่คิด 

 

ซึ่งการทำ Shockwave Therapy ที่ได้ผลลัพธ์ ไม่ใช่แค่ จำนวนมากหรือน้อย แต่ต้องมีทีมงานที่มีความรู้และความเข้าใจในการตั้งค่าพลังงานที่เหมาะสมเพื่อความแม่นยำของตัวเครื่อง

 

โปรแกรม M Focused Shockwave Therapy ที่ M Clinic เราเน้นให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ในการรักษา 

 

✔️ จุดเด่นของ M Focused Shockwave Therapy

✅ เป็นการบำบัดอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โดยไม่ใช้ยา

✅ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและการสร้างเส้นเลือดฝอยใหม่

✅ มีการ Calibrate เครื่อง และตั้งค่าพลังงานเฉพาะบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ

✅ ให้บริการโดยบุคลากรทางการแพทย์ชายล้วน

✅ ให้ความเป็นส่วนตัว

#shockwave #สุขภาพเพศชาย #mclinic #clinicformenbangkok #รีวิวMClinic

📌 ใครที่กำลังมากหาตัวช่วยฟื้นฟูสุขภาพช่วงล่าง M Focused Shockwave Therapy

เป็นอีกตัวช่วยที่มีงานวิจัยยอมรับและยังอยู่ในการดูแลของแพทย์ทั้งเรื่องการตั้งค่าพลังงานที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล รวมถึงเรื่องจำนวน Shot ที่ออกแบบเฉพาะบุคคล 

 

💬 สนใจปรึกษา M Clinic ได้เลยครับ เราพร้อมดูแลคุณอย่างใส่ใจ และเป็นส่วนตัว




ผู้ชายวัยทองยุคใหม่ต้องไม่ปล่อยให้ร่างพัง

“วัยทองผู้ชาย” ไม่ใช่แค่เรื่องของอายุ แต่คือจุดเปลี่ยนของสุขภาพที่ต้องรับมือให้ทัน

เมื่อผู้ชายก้าวสู่วัย 40 ปีขึ้นไป หลายคนอาจเริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและอารมณ์ เช่น เหนื่อยง่าย เครียดง่าย มวลกล้ามเนื้อลดลง หรือแม้แต่สมรรถภาพทางเพศที่ถดถอย ปัญหาเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของ “วัยทองผู้ชาย” หรือที่เรียกว่า Andropause ซึ่งเป็นภาวะที่ระดับฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ลดลง

วัยทองผู้ชาย คืออะไร? Andropause หรือ Male Menopause คือ ภาวะที่ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในร่างกายลดลง ส่งผลให้เกิดอาการทางร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ ซึ่งคล้ายกับวัยทองของผู้หญิง โดยมักพบในผู้ชายอายุประมาณ 40-55 ปีขึ้นไป และจะเกิดช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับพันธุกรรม การใช้ชีวิต และสุขภาพโดยรวม

#สุขภาพผู้ชาย #วัยทอง #ED #ฮอร์โมน #อาหารเสริม #สุขภาพ #Men #สูงวัย

10 สัญญาณเตือนเมื่อเข้าสู่วัยทองผู้ชาย

  1. เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียตลอดวัน
  2. อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย
  3. สมรรถภาพทางเพศลดลง
  4. นอนหลับไม่สนิท หลับยาก
  5. น้ำหนักขึ้น ไขมันสะสมบริเวณหน้าท้อง
  6. มวลกล้ามเนื้อลดลงแม้มีการออกกำลังกาย
  7. ความจำไม่ดี สมาธิสั้น
  8. ขาดแรงจูงใจ ไม่กระตือรือร้น
  9. ผิวพรรณแห้ง หย่อนคล้อย
  10. รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองเหมือนเดิม

หากคุณมีอาการเหล่านี้มากกว่า 3 ข้อขึ้นไป อาจเป็นสัญญาณของภาวะฮอร์โมนเพศชายลดลง และควรเข้ารับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ




#สุขภาพผู้ชาย #วัยทอง #ED #ฮอร์โมน #อาหารเสริม #สุขภาพ #Men #สูงวัย
ปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นวัยทองให้มาเร็วขึ้น
  • อายุที่มากขึ้น
  • พันธุกรรมจากครอบครัว
  • ความเครียดสะสม
  • การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
  • การดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่
  • ภาวะอ้วน ไขมันในร่างกายสูง
  • โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง

ตรวจเช็กได้อย่างไรว่าเข้าวัยทองแล้ว? การวินิจฉัยภาวะวัยทองของผู้ชาย ต้องอาศัยการซักประวัติ อาการ และการตรวจเลือดเพื่อดูระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Total / Free Testosterone) รวมถึงฮอร์โมนที่เกี่ยวข้อง เช่น LH, FSH, PSA, HCT และค่าการทำงานของตับ

 

แนวทางดูแลจาก M Clinic: ฟื้นฟูวัยทองผู้ชายแบบองค์รวม
  • ✅ ตรวจวิเคราะห์ฮอร์โมนเพศชายอย่างละเอียด (Testosterone / LH / PSA ฯลฯ)
  • ✅ วางแผนฟื้นฟูสุขภาพร่วมกับแพทย์เฉพาะทางเฉพาะบุคคล
  • ✅ โปรแกรม M Shot Testosterone เพื่อปรับสมดุลฮอร์โมนอย่างปลอดภัย
  • ✅ IV Drip สูตรเฉพาะสำหรับฟื้นฟูร่างกาย บำรุงตับ และเสริมภูมิคุ้มกัน
  • ✅ โปรแกรมเสริมสมรรถภาพทางเพศ (M Focused Shockwave Therapy) ที่ไม่ต้องผ่าตัด
  • ✅ โปรแกรมกระตุ้นกล้ามเนื้อและลดไขมัน (M Abs Tesla Sculpt) สำหรับคนที่ออกกำลังกายแล้วเห็นผลช้า

ผู้ชายวัยทองยุคใหม่…ต้องไม่ปล่อยให้ร่างพัง! หากรู้ทันและวางแผนดูแลอย่างถูกวิธี คุณสามารถกลับมามีสุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจได้อย่างมั่นใจ

M Clinic พร้อมดูแลสุขภาพคุณผู้ชายด้วยทีมแพทย์และเทคโนโลยีเฉพาะทาง คลินิกเฉพาะทางด้านสุขภาพและฟื้นฟูสมรรถภาพสำหรับผู้ชาย โดยทีมแพทย์และพนักงานชายล้วน ให้บริการแบบเป็นส่วนตัว

ปรับสมดุลฮอร์โมน ฟื้นฟูสุขภาพ คืนความมั่นใจให้คุณผู้ชายอีกครั้ง

เปรียบเทียบ M Focused Shockwave และ M Bocox®

เปรียบเทียบ M Focused Shockwave และ M Bocox®

2 โปรแกรมเด่นที่ช่วยฟื้นฟูสรรมถภาพช่วงล่างสำหรับผู้ชายที่ M Clinic 

เมื่ออายุเพิ่มขึ้นสุขภาพร่างกายก็ต้องเปลี่ยนแปลง รวมถึงสุขภาพทางเพศด้วย ซึ่งกระทบโดยตรงต่อความมั่นใจของผู้ชาย และยังส่งผลถึงคุณภาพชีวิตรวมถึงความสัมพันธ์อีกด้วย ปัจจุบันมีผู้ชายหลายคนมีปัญหาเรื่องสุขภาพทางเพศ ไม่ว่าจะทางใดก็ทางหนึ่ง เช่น การตื่นตัวที่ลดลง ความแข็งแรงที่ไม่เหมือนก่อน มีภาวะเรือล่มปากอ่าว หรือ นกเขาไม่ขัน

 

M Clinic เราเป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญในด้านการดูแลสุขภาพคุณผู้ชายโดยเฉพาะ จึงมุ่งเน้นการพัฒนาโปรแกรมต่าง ๆ เพื่อรักษาได้อย่างตรงจุด เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้นและเพื่อการรักษาที่ไม่ต้องพึ่งยาแบบเดิมอีกต่อไป  M Clinic มีโปรแกรมให้ผู้เข้ารับบริการเลือกตามความต้องการและตามความรุนแรงของปัญหา ซึ่ง 2 โปรแกรมเด่นที่แนะนำ คือ M Focused Shockwave Therapy และโปรแกรม M Bocox® วันนี้จะมาดูความแตกต่างของแต่ละโปรแกรมกันครับ ว่าใครจะเหมาะกับโปรแกรมไหน เพื่อการรักษาอย่างตรงจุดของแต่ละบุคคล

 

ก่อนอื่นมาทำเข้าใจภาวะ ED (Erectile Dysfunction) 

ภาวะ ED ( Erectile Dysfunction ) คือ ภาวะหย่อนสมรรถภาพช่วงล่าง คือการที่ผู้ชายมีปัญหาสุขภาพทางเพศที่ไม่ดีพอหรือมีการตื่นตัวที่น้อยลง หรือการที่มีกิจกรรมไม่สำเร็จ สาเหตุที่เกิดภาวะ ED มีหลายปัจจัย ทั้งด้านร่างกาย เช่น โรคประจำตัวที่ส่งผลต่อสุขภาพช่วงล่าง ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดได้ไม่ดี และปัจจัยทางด้านจิตใจ ไม่ว่าจะความเครียด วิตกกังวล ไปจนถึงภาวะซึมเศร้าก็ส่งผลต่อสุขภาพช่วงล่างได้

 

สรุปสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะ ED

🔹 โรคประจำตัวที่เป็นอยู่ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดไม่ดี เช่น โรคเบาหวาน และความดัน

🔹 มีภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล ฮอร์โมน testosterone ต่ำกว่าปกติ เลยส่งผลต่อสุขภาพทางเพศ

🔹ปัญหาทางด้านจิตใจก็เป็นส่วนที่ส่งผลต่อสุขภาพทางเพศได้ เช่น ความเครียดสะสม การวิตกกังวล และภาวะโรคซึมเศร้า

🔹โรคเฉพาะทาง Peyronie’s Disease (องคชาติคดงอ) โรคนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพชีวิตทางเพศได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ควรปรึกษาแพทย์และเข้ารับการรักษาที่ตรงจุด

M Focused Shockwave Therapy 

การรักษาบำบัดด้วยคลื่นกระแทกพลังงานต่ำ ( Low-Intensity Focused Shockwave Therapy ) เป็นการรักษาอีกวิธีที่มีความนิยมระดับสากล และมีงานวิจัยรองรับ โดยใช้พลังงานคลื่นเสียงเข้าไปกระตุ้นเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดบริเวณช่วงล่าง อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดขึ้นใหม่ตามธรรมชาติ

 

จุดเด่นของ M Focused Shockwave:
  • ไม่ต้องใช้ยา ไม่มีแผล หลังทำสามารถใช้งานได้เลย
  • ไม่มีผลข้างเคียง หลังเข้ารับบริการไม่ต้องพักฟื้น
  • เป็นหัตถการที่เหมาะกับมือใหม่ผู้เริ่มต้น อยากเพิ่มความมั่นใจ
  • ใช้เครื่องมือที่ได้รับการรับรองและทันสมัย มีการปรับค่าพลังงานให้เหมาะกับแต่ละบุคคล
  • ทำตามงานวิจัยทางการแพทย์ เพื่อผลลัพธ์

 

M Focused Shockwave Therapy เป็นหัตถการที่เหมาะกับผู้ชายที่ยังมีการตื่นตัวได้ แต่มีความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม หรือการตื่นตัวได้ไม่เหมือนแต่ก่อน รวมถึงคนที่ไม่มีปัญหา ก็สามารถมาฟื้นฟูเพื่อคงความฟิตของช่วงล่างพร้อมเพิ่มสมรรถภาพได้ดีมากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ สำหรับคนที่มีปัญหาไม่สามารถแข็งตัวได้เลยแนะนำให้ค้นหาสาเหตุที่แท้จริงก่อน

 

M Bocox® 

M Bocox® เป็นอีกหัตถการที่ใช้ Botulinum Toxin หรือ Botox ในการนำมาฉีดบริเวณช่วงล่างเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดได้ดีขึ้น จากการคลายกล้ามเนื้อในแกนของอวัยวะคุณผู้ชาย ซึ่งจะส่งผลให้การไหลเวียนเลือดเข้าไปในอวัยวะได้ดีมากยิ่งขึ้น และเมื่อกล้ามเนื้อฟองน้ำคลายตัวออกจะส่งผลให้มีการขยายขนาดของน้องชายเพิ่มขึ้น ใหญ่ขึ้น และด้วยส่วนผสมพิเศษของ M Bocox®  จะทำให้การตื่นตัวของช่วงล่างก็จะมีคุณภาพที่ดี ทนมากขึ้น สามารถทำกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

จุดเด่นของ M Bocox®:
  • ✅ ช่วยในเรื่องความตื่นตัวได้นานขึ้น แข็งแรงมากขึ้น
  • ✅กล้ามเนื้อฟองน้ำคลายตัวทำให้เพิ่มขนาดของอวัยวะได้
  • ✅ เป็นหัตถการที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ได้ลองทำมาหลายวิธีมาแล้วยังไม่เห็นผล
  • ✅ เห็นผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไปภายใน 2-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละบุคคล
  • ✅ เป็นหัตถการที่ต้องทำโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์

 

M Bocox® เป็นโปรแกรมที่เหมาะสมสำหรับผู้ชายที่มีปัญหาช่วงล่าง คนที่อยากเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว คนที่มีภาวะหย่อนสมรรถภาพเพศ การตื่นตัว และทำให้หมดความมั่นใจเวลาทำกิจกรรม M Bocox® เป็นอีกตัวช่วยได้

 
แล้วควรเลือกโปรแกรมไหน? M Focused Shockwave หรือ M Bocox®

โปรแกรมหรือหัตถการที่ต้องการฟื้นฟูสมรรถภาพช่วงล่างควรพิจารณาจากปัญหาสุขภาพช่วงล่างของแต่ละบุคคล อีกทั้งระดับอาการของภาวะ ED ที่แตกต่างกันออกไปรวมถึงความรุนแรงของอาการ

  • ระดับเริ่มต้นหรือไม่มีอาการ หากรู้สึกว่าสุขภาพช่วงล่างยังใช้งานได้ตามปกติ หรือมีปัญหาไม่มากนัก อยากเพิ่มความมั่นใจในเรื่องสุขภาพทางเพศ M Focused Shockwave Therapy ถือเป็นหัตถการเริ่มต้นที่ดี เพราะไม่มีเข็ม ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้งานต่อได้เลย และยังเป็นการฟื้นฟูจากภายใน ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้นในระยะยาวได้
  • ระดับที่มีปัญหาไปจนถึงมีปัญหาขั้นรุนแรง หากมีอาการที่ไม่สามารถตื่นตัวได้ หรือตื่นตัวได้บ้าง และได้รับการรักษาอย่างอื่นมาแล้วไม่เห็นผลลัพธ์ หรือไม่ตอบโจทย์ M Bocox® เป็นอีกหัตถการที่ช่วยให้เห็นผลลัพธ์ได้ดีขึ้น และเพิ่มความมั่นใจ ให้กลับมาดีขึ้น

M Holetox – โบ-ท็อกซินด้านหลัง ทางเลือกในการลดปัญหาแผลปริขอบทวารหนัก

M Holetox – โบ-ท็อกซินด้านหลัง

ทางเลือกในการลดปัญหาแผลปริขอบทวารหนัก

แผลปริขอบทวารหนักคืออะไร?

แผลปริที่ทวารหนัก (Anal Fissure) คือรอยฉีกขาดเล็ก ๆ บริเวณเยื่อบุทวารหนัก ซึ่งมักเกิดจาก:
✅ อาการท้องผูก
✅ การเบ่งอุจจาระแรงเกินไป
✅ ท้องเสียเรื้อรัง

อาการของแผลปริขอบทวารหนักมักรวมถึง อาการปวดรุนแรงและเลือดออก โดยเฉพาะเวลาถ่ายอุจจาระ แม้ว่าการรักษาเบื้องต้น เช่น การปรับอาหาร เสริมใยอาหาร หรือการใช้ยาทาภายนอก อาจช่วยบรรเทาได้ แต่ในบางกรณีอาจต้องใช้วิธีการรักษาที่ก้าวหน้าขึ้น

 

โบ-ท็อกซินช่วยลดปัญหาแผลปริขอบทวารหนักได้อย่างไร?

โบ-ท็อกซิน (Botulinum toxin) เป็นสารที่ช่วย ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวชั่วคราว โดยการปิดกั้นสัญญาณประสาท

🩺 เมื่อฉีดโบ-ท็อกซินเข้าไปที่ กล้ามเนื้อหูรูดภายในของทวารหนัก (Internal Anal Sphincter) จะช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ลดแรงกดในทวารหนัก ทำให้แผลสมานตัวเองได้ง่ายขึ้น

 

ข้อดีของโบ-ท็อกซินในการลดปัญหาแผลปริขอบทวารหนัก

✔️ ไม่ต้องผ่าตัด – ต่างจากการผ่าตัดกล้ามเนื้อหูรูด (Lateral Internal Sphincterotomy) ที่ต้องมีการกรีดแผลโบ-ท็อกซินเป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด

✔️ บรรเทาอาการปวดอย่างรวดเร็ว – โบ-ท็อกซินช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ลดอาการเกร็ง ทำให้ความเจ็บปวดลดลงภายในไม่กี่วัน

✔️ อัตราความสำเร็จสูง – งานวิจัยพบว่าโบ-ท็อกซินสามารถช่วยรักษาแผลปริขอบทวารหนักเรื้อรังได้ 

✔️ ความเสี่ยงของภาวะกลั้นอุจจาระไม่ได้ต่ำกว่าการผ่าตัด – การฉีดโบ-ท็อกซินไม่มีผลกระทบถาวรต่อกล้ามเนื้อหูรูด ลดโอกาสเกิดภาวะกลั้นอุจจาระไม่ได้ที่พบได้ในบางรายที่ผ่าตัด

✔️ ฟื้นตัวได้เร็ว – ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ ภายใน 1-2 วันหลังฉีดโบ-ท็อกซิน

 

ขั้นตอนการฉีดโบ-ท็อกซิน: คาดหวังอะไรได้บ้าง?

การฉีดโบ-ท็อกซินเป็นหัตถการที่ทำในคลินิกแบบผู้ป่วยนอก ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที มีขั้นตอนดังนี้

🔹 อาจใช้ ยาชาเฉพาะที่ เพื่อลดอาการเจ็บ
🔹 แพทย์จะฉีดโบ-ท็อกซิน ปริมาณ 20-100 ยูนิต เข้าไปที่กล้ามเนื้อหูรูดภายใน
🔹 ผลของโบ-ท็อกซินจะเริ่มเห็นผล ภายในไม่กี่วันถึงหนึ่งสัปดาห์ และแผลมักสมานตัวเต็มที่ภายใน 6-8 สัปดาห์

 

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

แม้ว่าโบ-ท็อกซินจะปลอดภัย แต่บางคนอาจพบผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น

⚠️ ภาวะกลั้นอุจจาระหรือแก๊สไม่ได้ชั่วคราว – มักหายไปเองภายในไม่กี่สัปดาห์
⚠️ อาการปวดหรือบวมเล็กน้อย บริเวณที่ฉีด
⚠️ อาการแพ้ (พบได้น้อยมาก)

 

โบ-ท็อกซินเหมาะกับคุณหรือไม่?

✅ หากคุณมีแผลปริขอบทวารหนัก เรื้อรัง และ ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอนุรักษ์นิยม โบ-ท็อกซินอาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคุณ

❌ แต่หากโบ-ท็อกซินไม่ได้ผลแม้ฉีดซ้ำหลายครั้ง การผ่าตัดอาจเป็นตัวเลือกสุดท้าย

 

สรุป

โบ-ท็อกซินเป็นทางเลือกที่ ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และไม่ต้องผ่าตัด ในการรักษาแผลปริขอบทวารหนัก โดยช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อหูรูด บรรเทาอาการปวด และเร่งการสมานแผล

หากคุณกำลังประสบปัญหา แผลปริขอบทวารหนัก ควร ปรึกษาแพทย์ เพื่อพิจารณาว่าโบ-ท็อกซินเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับคุณหรือไม่

ฉีดฮอร์โมนด้วยตัวเองเสี่ยงเป็นหมันหรือไม่?

ฉีดฮอร์โมนด้วยตัวเองเสี่ยงเป็นหมันหรือไม่?

การฉีดฮอร์โมนกลายเป็นวิธีที่หลายคนสนใจเพื่อเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ เพิ่มกล้ามเนื้อ หรือปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย แต่รู้หรือไม่ว่าการฉีดฮอร์โมนด้วยตัวเองโดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์ อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงและผลกระทบร้ายแรงเช่น การเป็นหมัน การเสพติดฮอร์โมน และผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว 💬

 

1. ความเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก (เป็นหมัน)

การฉีดฮอร์โมนโดยขาดการวางแผนที่เหมาะสม เช่น ไม่มีการใช้ยาเพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบฮอร์โมนตามธรรมชาติ (Post Cycle Therapy – PCT) อาจทำให้ร่างกายหยุดผลิตฮอร์โมนเองตามธรรมชาติ ส่งผลให้จำนวนอสุจิลดลงหรือถึงขั้นเป็นหมันได้

 

2.ปัญหาน้ำอสุจิน้อย

การฉีดฮอร์โมนที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุม อาจลดปริมาณน้ำอสุจิ เพราะร่างกายถูกกดการทำงานของอัณฑะ ฮอร์โมนที่มากเกินไปทำให้ร่างกายเสียสมดุลและระบบสืบพันธุ์ทำงานผิดปกติ

 

3.การเสพติดการใช้ฮอร์โมน

เมื่อเริ่มต้นใช้ฮอร์โมน ร่างกายจะรู้สึกถึงพลังงานและสมรรถภาพที่ดีขึ้น แต่เมื่อหยุดฉีด หลายคนอาจรู้สึกว่าร่างกายแย่ลง ไม่สามารถกลับไปเหมือนเดิมได้ ทำให้ต้องฉีดฮอร์โมนอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นการเสพติดการใช้ฮอร์โมน

 

4.ผลข้างเคียงจากการใช้ฮอร์โมน

การฉีดฮอร์โมนที่ไม่มีการวางแผนหรือการจัดการวงจรที่เหมาะสม อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น สิวขึ้นหนัก,อารมณ์แปรปรวน,ระบบการเผาผลาญผิดปกติ,ปัญหาตับและไตจากการสะสมของสารพิษ

 

5.ยาถอย (PCT)

หลังจากการใช้ฮอร์โมน ร่างกายต้องการการฟื้นฟูระบบฮอร์โมนธรรมชาติ การมียาถอย เช่น Clomiphene หรือ HCG ช่วยให้ระบบฮอร์โมนกลับมาทำงานได้ปกติ และลดความเสี่ยงในการเกิดหมันและผลกระทบระยะยาว

 

ข้อแนะนำ

การใช้ฮอร์โมนควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เพื่อวางแผนการใช้ยาอย่างเหมาะสม ควรตรวจสอบระดับฮอร์โมนในร่างกาย เพื่อลดความเสี่ยงจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น การตรวจเลือดก่อนเริ่มต้นใช้ฮอร์โมนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ 

 

การฉีดฮอร์โมนด้วยตัวเองอาจดูสะดวกและรวดเร็ว แต่ในระยะยาวอาจนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพที่แก้ไขยาก ดังนั้น หากคุณกำลังพิจารณาการฉีดฮอร์โมน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพที่ยั่งยืน




Posts pagination