Estrogen Blocker คืออะไร? เมื่อมีภาวะฮอร์โมนเพศหญิงเกินในผู้ชาย
รู้หรือไม่? จริง ๆ แล้วผู้ชายทุกคนมีฮอร์โมนเพศหญิงอยู่ในร่างกาย และถ้าหากว่ามีมากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสมรรถภาพทางเพศได้ ดังนั้น Estrogen Blocker คือ ทางเลือกหนึ่งในการช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกายของผู้ชายอย่างเรา แล้วมันคืออะไร? ในบทความนี้จะพาผู้ชายทุกท่านมาทำความรู้จักกับ Estrogen Blocker กัน
เมื่อพูดถึงฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen) หลายคนอาจคิดว่าฮอร์โมนเพศหญิงก็ต้องอยู่ในร่างกายของผู้หญิงเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว ผู้ชายก็มีฮอร์โมนชนิดนี้อยู่ด้วย เพียงแค่มีฮอร์โมนในปริมาณน้อยกว่าเท่านั้นเอง
ซึ่งในร่างกายของผู้ชายฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) จะช่วยควบคุมหลายระบบ เช่น
- การทำงานของสมองและอารมณ์
- การเผาผลาญไขมัน
- สุขภาพของกระดูก
- สมดุลของสมรรถภาพทางเพศ
อย่างไรก็ตาม หากว่าร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนมากเกินไปหรือเทสโทสเทอโรน (ฮอร์โมนเพศชาย) ลดลงจนทำให้ฮอร์โมนเสียสมดุลก็อาจทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “Estrogen Dominance” หรือ ภาวะฮอร์โมนเพศหญิงเกินในผู้ชายได้
5 สัญญาณเตือนเมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) เกินสมดุล
อาจมีหลาย ๆ คนที่ไม่รู้ตัวว่าอาการที่กำลังเป็นอยู่หรือที่เจออยู่ทุกวันนั้นเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจนเกิน เช่น
- หน้าอกเริ่มโตคล้ายผู้หญิง (Gynecomastia)
สัญญาณเตือนที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ หน้าอกเริ่มนูนขึ้นหรือจับแล้วรู้สึกมีเนื้อเต้านมมากกว่าปกติ ที่ไม่ได้เกิดจากไขมันเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากเนื้อเยื่อเต้านมที่ตอบสนองต่อฮอร์โมนเอสโตรเจน หากปล่อยไว้นานอาจทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในรูปร่างหรือเสื้อผ้าที่เคยใส่ได้
- น้ำหนักขึ้นง่ายโดยเฉพาะตรงหน้าท้อง
ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีผลต่อการสะสมไขมันโดยเฉพาะที่หน้าท้อง เอวและหน้าอก ผู้ชายคนไหนที่เคยออกกำลังกายเล็กน้อยแต่ยังควบคุมน้ำหนักได้ อาจจะเริ่มรู้สึกว่าทำไมกินเหมือนเดิม แต่น้ำหนักกลับขึ้นง่ายผิดปกติ
- รู้สึกเหนื่อยง่าย กล้ามเนื้อลด
เมื่อระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนลดลงและเอสโตรเจนสูงขึ้น ร่างกายจะสร้างกล้ามเนื้อได้ยากขึ้น กล้ามเนื้อเดิมก็เริ่มหายไป ความแข็งแรงลดลง บางคนถึงขั้นรู้สึกว่าหมดแรง เหนื่อยง่าย แม้จะทำแค่กิจกรรมสบาย ๆ
- มีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดหรือซึมเศร้า
ความไม่สมดุลของฮอร์โมนไม่ได้มีผลแค่ต่อร่างกาย แต่ยังส่งผลต่อสมองและอารมณ์ด้วย ระดับเอสโตรเจนที่ไม่สมดุลอาจทำให้เกิดความรู้สึกหงุดหงิด อ่อนไหวหรืออารมณ์แปรปรวนง่ายกว่าปกติ บางคนอาจจะรู้สึกเครียดหรือไปจนถึงซึมเศร้าโดยไม่มีสาเหตุ
- สมรรถภาพทางเพศลดลง
หนึ่งในอาการที่จะกระทบความมั่นใจของผู้ชายมากที่สุด คือ ความต้องการทางเพศลดลง ซึ่งมันจะเกิดขึ้นเมื่อฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนลดลงและฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงเกินไป
สาเหตุที่ทำให้ฮอร์โมนเพศหญิงเพิ่มขึ้นมีอะไรบ้าง?
- อายุที่เพิ่มขึ้น เมื่อผู้ชายอายุมากขึ้นระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนจะค่อย ๆ ลดลง ทำให้สัดส่วนระหว่างฮอร์โมนเพศชายและเพศหญิงไม่สมดุล
- ไขมันส่วนเกิน ไขมันโดยเฉพาะบริเวณหน้าท้องจะมีเอนไซม์ที่ชื่อว่า Aromatase ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนให้กลายเป็นเอสโตรเจน
- การดื่มแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์ส่งผลให้ตับทำงานแย่ลง ซึ่งเป็นอวัยวะที่คอยกำจัดฮอร์โมนส่วนเกิน ทำให้เอสโตรเจนค้างอยู่ในร่างกายมากขึ้น
- ความเครียดสะสม เมื่อร่างกายเครียดจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งจะไปยับยั้งการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนให้ลดลง ส่งผลให้ความสมดุลของฮอร์โมนเพศนั้นเสียไป
- การใช้ยาบางชนิดหรือโรคประจำตัว เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาต้านซึมเศร้าหรือโรคเกี่ยวกับตับและต่อมไร้ท่อ
หากคุณเริ่มสังเกตว่าร่างกายเริ่มเปลี่ยนไปในลักษณะเหล่านี้ อาจถึงเวลาที่ต้องไปเช็กฮอร์โมนแล้วครับ เพราะสาเหตุสำคัญที่แอบแฝงอยู่มักจะเกิดจากระดับเอสโตรเจนที่สูงเกินไป ซึ่งในปัจจุบันมีทางเลือกหนึ่งที่ช่วยจะปรับสมดุลของฮอร์โมนนี้ได้ คือ การใช้ Estrogen Blocker
Estrogen Blocker คืออะไร?
Estrogen Blocker หรือ ตัวยับยั้งฮอร์โมนเอสโตรเจน คือ ยาที่ช่วยลดการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกายของผู้ชาย เพื่อจะปรับสมดุลของฮอร์โมนให้กลับมาปกติตามเดิม โดยทั่วไป แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ คือ
1. Aromatase Inhibitors (AI)
ยากลุ่มนี้จะช่วยยับยั้งเอนไซม์ Aromatase ไม่ให้เปลี่ยนเทสโทสเทอโรนเป็นเอสโตรเจน ตัวอย่างยาที่แพทย์ใช้ในบางกรณี เช่น Anastrozole, Letrozole นิยมใช้กับผู้ชายที่ได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนหรือกำลังมีภาวะ Gynecomastia
2. Selective Estrogen Receptor Modulators (SERMs)
ยากลุ่มนี้ไม่ได้ไปลดระดับเอสโตรเจนโดยตรง แต่ไปขัดขวางไม่ให้ฮอร์โมนจับกับตัวรับ (Receptor) ในเนื้อเยื่อบางส่วน เช่น หน้าอก ส่งผลให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะยังอยู่ในร่างกาย แต่ก็ไม่สามารถออกฤทธิ์ได้เต็มที่ โดยเฉพาะจุดที่ทำให้เกิดอาการหน้าอกโตหรือสมรรถภาพลดลง ตัวอย่างยาที่แพทย์ใช้ เช่น Tamoxifen, Clomiphene
ข้อควรระวังเมื่อใช้ยา Estrogen Blocker
แม้ตัวยาเหล่านี้จะมีประโยชน์ในทางการแพทย์ แต่ก็ไม่ควรใช้เองโดยเด็ดขาด เพราะการปรับระดับฮอร์โมนในร่างกายเป็นเรื่องที่ซับซ้อน หากใช้ในปริมาณหรือระยะเวลาที่ไม่เหมาะสม อาจเกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายได้ เช่น
- ภาวะกระดูกพรุน เนื่องจากเอสโตรเจนมีส่วนช่วยในการรักษาความหนาแน่นของกระดูก แม้ในผู้ชายก็มีความสำคัญเช่นกัน
- ความดันโลหิตสูงจากการเปลี่ยนแปลงสมดุลของระบบไหลเวียนเลือด
- ปัญหาการนอนหลับหรืออาการอ่อนเพลีย จากการรบกวนวงจรของฮอร์โมน
- สมดุลฮอร์โมนสลับกลับด้าน คือ เทสโทสเทอโรนสูงเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดสิว ผมร่วงหรืออารมณ์แปรปรวนได้
นอกจากนี้ยังมีบางคนที่เมื่อหยุดยากะทันหัน ร่างกายอาจเกิดการ “รีบาวด์” หรือร่างกายกลับมาสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนมากกว่าเดิม ทำให้ร่างกายเกิดอาการผิดปกติอีกครั้ง
ดังนั้น ก่อนเริ่มใช้ยาใด ๆ ควรตรวจระดับฮอร์โมนจากเลือดและปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านฮอร์โมนหรือเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-aging medicine) เพื่อประเมินภาวะฮอร์โมนในร่างกายอย่างรอบคอบ ทั้งฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen) และฮอร์โมนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมกับร่างกายของแต่ละคนมากที่สุด
วิธีการรักษาสมดุลของระดับฮอร์โมนแบบธรรมชาติ
หากยังไม่ได้อยู่ในระดับที่รุนแรงจนถึงขั้นต้องใช้ยา การปรับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ ก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเพศให้กลับมาเป็นปกติได้อย่างปลอดภัย เช่น
- ลดไขมันส่วนเกินโดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง
เพราะไขมันเป็นสิ่งสำคัญที่ร่างกายใช้เปลี่ยนฮอร์โมนเพศชายเป็นเอสโตรเจน ยิ่งมีไขมันมากร่างกายก็ยิ่งผลิตเอสโตรเจนมากขึ้น การลดน้ำหนักจึงช่วยลดการเปลี่ยนจากฮอร์โมนเพศชายเป็นฮอร์โมนเพศหญิงได้
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และอาหารแปรรูป
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจไปขัดขวางการสร้างฮอร์โมนเพศชายและกระตุ้นการผลิตเอสโตรเจน ส่วนอาหารแปรรูปที่มีไขมันทรานส์หรือสารเคมีสะสมสูง ก็อาจรบกวนการทำงานของตับ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญในการกำจัดฮอร์โมนเอสโตรเจนส่วนเกินออกจากร่างกาย
- ออกกำลังกายเป็นประจำโดยเฉพาะการเวทเทรนนิ่ง
การออกกำลังเป็นการฝึกกล้ามเนื้อ เพื่อช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนตามธรรมชาติและช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ลดไขมันส่วนเกิน ซึ่งส่งผลต่อความสมดุลฮอร์โมนให้ดีขึ้น
- นอนให้พอและจัดการความเครียด
การนอนหลับที่มีคุณภาพช่วยให้ร่างกายหลั่ง Growth hormone และเทสโทสเทอโรนในระดับที่เหมาะสม และช่วยลดความเครียดสะสม ซึ่งเป็นสาเหตุของการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ที่จะไปยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเพศชายได้
- กินผักผลไม้ให้มากขึ้น
โดยเฉพาะผักตระกูลกะหล่ำ (เช่น บร็อกโคลี กะหล่ำปลี คะน้า) เพราะมีสารธรรมชาติอย่าง Indole-3-Carbinol (I3C) และ Diindolylmethane (DIM) ที่ช่วยกำจัดเอสโตรเจนส่วนเกินออกจากร่างกายตามธรรมชาติ
- เสริมด้วยสารอาหารและสมุนไพรบางชนิด
อาหารเสริมบางกลุ่ม เช่น Zinc, Magnesium, Vitamin D หรือสมุนไพรที่มีข้อมูลสนับสนุนการปรับสมดุลฮอร์โมนเพศ เช่น Tribulus Terrestris, Tongkat Ali และ Ashwagandha ซึ่งอาจช่วยเพิ่มระดับเทสโทสเทอโรนและลดอาการอ่อนล้าได้ อย่างไรก็ตามควรใช้ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ที่เข้าใจด้านฮอร์โมน เพื่อป้องกันการใช้ยาเกินขนาดหรือกระทบกับยาชนิดอื่น ๆ
ภาวะฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen) เกินสำหรับผู้ชายอาจดูไม่ร้ายแรงนักในช่วงแรก แต่จริง ๆ แล้วมีผลกระทบต่อทั้ง สุขภาพกาย จิตใจและความมั่นใจในชีวิตประจำวันได้มากกว่าที่คุณคิด
หากคุณเริ่มรู้สึกว่าร่างกายเปลี่ยนไป ทั้งในเรื่องพลังงาน อารมณ์หรือสมรรถภาพทางเพศ อย่ามองข้ามสัญญาณเหล่านี้ เพราะมันอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าระดับฮอร์โมนในร่างกายของคุณกำลังไม่สมดุล เพราะฉะนั้นการดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ ทั้งการปรับพฤติกรรม ตรวจสุขภาพประจำปีหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านฮอร์โมน จะช่วยให้ร่างกายคุณกลับมาแข็งแรง มีความสมดุลและมั่นใจอีกครั้ง

