Gynecomastia ภาวะนมแหลมในผู้ชาย เกิดจากอะไรและควรทำอย่างไร?
รู้หรือไม่ว่า..อาการหน้าอกโต ไม่ได้เป็นปัญหาแค่ของผู้หญิงเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วผู้ชายก็สามารถมีหน้าอกที่โตผิดปกติได้เช่นกัน ซึ่งภาวะนี้เรียกว่า Gynecomastia
Gynecomastia คืออะไร?
Gynecomastia คือ ภาวะที่เต้านมของผู้ชายมีการขยายตัวหรือโตมากกว่าปกติหรือเรียกง่าย ๆ ว่า”นมแหลม” ซึ่งภาวะนี้ไม่ได้มาจากแค่ไขมันสะสมเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความไม่สมดุลระหว่างฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) และฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen) ในร่างกาย ซึ่งจริง ๆ แล้วสามารถพบได้ในหลากหลายช่วงวัย เช่น
- ทารก: สำหรับทารกเกิดได้บ่อยและไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ส่วนใหญ่จะเกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนของแม่ที่ส่งผ่านมาช่วงตั้งครรภ์ แต่จะค่อย ๆ หายไปเองภายในไม่กี่สัปดาห์
- วัยรุ่น: ช่วงอายุประมาณ 10-16 ปี เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอย่างรวดเร็วในช่วงเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) อาจยังไม่เพิ่มขึ้นทันที ในขณะที่ฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen) มีอยู่ในระดับหนึ่ง ทำให้เกิดภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลชั่วคราว ซึ่งเป็นอาการปกติและวัยรุ่นส่วนใหญ่จะหายเองได้ ภายในตั้งแต่ 6 เดือน ไปจนถึง 2 ปี แต่ถ้าหน้าอกโตเกินไป มีความเจ็บ หรือมีลักษณะผิดปกติ ควรตรวจหาสาเหตุอื่น ๆ จากแพทย์จะดีที่สุด ซึ่งอาจจะเกิดจากก้อนเนื้อหรือความผิดปกติของฮอร์โมน
- ผู้สูงอายุ: โดยเฉพาะหลังคนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ระดับฮอร์โมนเพศชายจะค่อย ๆ ลดลง แต่ในขณะเดียวกันฮอร์โมนเพศหญิงที่ร่างกายสร้างขึ้นจะยังคงมีอยู่ ทำให้สัดส่วนของฮอร์โมนเพศหญิงมีมากกว่า และวัยนี้ยังมีโอกาสพบโรคหรือภาวะที่มีผลต่อความสมดุลของฮอร์โมนได้ง่าย เช่น โรคตับ โรคไต โรคต่อมไทรอยด์หรือเนื้องอกบางชนิด รวมถึงการใช้ยาบางประเภท (เช่น ยารักษาความดัน ยาขับปัสสาวะหรือยารักษาโรคหัวใจ) ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะ Gynecomastia ได้เช่นกัน ดังนั้นถ้าพบว่าหน้าอกที่โตขึ้นในวัยนี้ ควรตรวจหาสาเหตุจากแพทย์เพื่อให้ได้รับการดูแลที่เหมาะสม
ถึงแม้ว่า Gynecomastia จะไม่ได้เป็นโรคที่ร้ายแรง แต่โรคนี้ส่งผลต่อความมั่นใจของเจ้าตัว การใช้ชีวิตประจำวัน และบางครั้งอาจเป็นสัญญาณบอกถึงปัญหาสุขภาพที่แอบซ่อนอยู่ ซึ่งในบทความนี้จะพาคุณทำความรู้จักกับภาวะ Gynecomastia อย่างละเอียด พร้อมทั้งสาเหตุ อาการ แนวทางดูแลและป้องกัน จะมีอะไรบ้าง? ไปดูกัน!

สาเหตุของการเกิด Gynecomastia
สาเหตุหลักของการเกิด Gynecomastia คือ ภาวะที่ฮอร์โมนเพศชายลดลงหรือฮอร์โมนเพศหญิงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เต้านมได้รับการกระตุ้นให้โตมากขึ้น จนทำให้นมแหลมออกมา ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะนี้ ได้แก่
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนตามวัย
ผู้ชายจะสร้างฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) สูงสุดช่วงวัยรุ่น หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ผลิตลดลง โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่อายุ 50 ปีขึ้นไป สัดส่วนของฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen) ต่อฮอร์โมนเพศชายจะมากขึ้น ส่งผลให้เต้านมขยายตัวได้ง่ายขึ้น
- โรคที่เกี่ยวข้องกับตับหรือไต
- โรคตับแข็ง ทำให้ตับไม่สามารถทำลายฮอร์โมนส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีระดับฮอร์โมนเพศหญิงในเลือดสูงขึ้น
- โรคไตวายเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องฟอกไต อาจทำให้เกิดความผิดปกติของฮอร์โมนหลายชนิดในร่างกาย รวมถึงฮอร์โมนเพศเช่นกัน ทำให้เกิดภาวะเต้านมโตได้
- เนื้องอกบางชนิด
- เนื้องอกต่อมหมวกไต อาจก่อให้เกิดการสร้างฮอร์โมนเพศหญิงหรือฮอร์โมนอื่น ๆ ที่ไปรบกวนความสมดุลของฮอร์โมนเพศชายได้
- เนื้องอกต่อมใต้สมอง อาจทำให้ร่างกายเกิดการกระตุ้นเพื่อสร้างฮอร์โมนเพศหญิงที่เพิ่มขึ้นหรือไปยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเพศชาย
- เนื้องอกอัณฑะบางชนิด ก็สามารถก่อให้เกิดการสร้างฮอร์โมนเพศหญิงได้ด้วยเช่นกัน
- ยาบางชนิด
- ยารักษาความดันในเลือดสูง เช่น Spironolactone อาจมีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเพศหญิง
- ยาเคมีบำบัดบางชนิด มีผลต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อและการสร้างฮอร์โมนเพศชาย
- ยาต้านอาการซึมเศร้า โดยเฉพาะบางกลุ่มที่รบกวนความสมดุลของฮอร์โมนเพศ
- ยาสเตียรอยด์ หากใช้ต่อเนื่องอาจเป็นการยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเพศชายของร่างกาย
- สารเสพติด
- กัญชา มีสารออกฤทธิ์ที่อาจส่งผลต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อให้มีประสิทธิภาพที่แย่ลง
- การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ทำให้ตับเสื่อม ทำงานได้แย่ลงและส่งผลให้สามารถในการควบคุมสมดุลฮอร์โมนนั้นลดลง
- ยาเสพติดบางชนิด เช่น เฮโรอีนหรือแอมเฟตามีน อาจไปรบกวนความสมดุลของฮอร์โมนและสุขภาพโดยรวมให้ทำงานแย่ลง
- ภาวะขาดสารอาหาร
เมื่อร่างกายขาดพลังงานและสารอาหารที่จำเป็น การสร้างฮอร์โมนเพศชายก็จะลดลง ขณะที่ฮอร์โมนเพศหญิงอาจยังมีอยู่ นอกจากนี้การลดน้ำหนักแบบหักโหมยังทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะที่มีความเครียดสูง ส่งผลต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อและการรักษาสมดุลของฮอร์โมน
อาการของภาวะ Gynecomastia มีอะไรบ้าง?
อาการของภาวะเต้านมโตหรือนมแหลมที่สามารถสังเกตได้ชัดเจนด้วยตนเอง มีลักษณะดังนี้
- เต้านมมีความหนาและนุ่มขึ้น
ในช่วงแรกอาจรู้สึกว่าบริเวณหน้าอกมีความนุ่มขึ้นผิดปกติ เหมือนมีเนื้อหรือไขมันเพิ่มขึ้น เมื่อลองแตะที่หน้าอกจะรู้สึกว่าผิวบริเวณนั้นเรียบและยืดหยุ่นได้ ต่างจากก้อนเนื้องอกที่จะแข็งและไม่สามารถขยับตามแรงกดได้
- บริเวณรอบเต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้น
ช่วงบริเวณลานนม หรือ areola อาจกว้างขึ้นและดูนูนขึ้น เนื่องจากการขยายตัวของเต้านม และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งบางคนอาจทำให้สีของลานนมเข้มขึ้นด้วย
- อาจมีอาการเจ็บหรือกดแล้วเคือง
ความเจ็บจะไม่รุนแรงมาก แต่อาจทำให้รู้สึกรำคาญ เคืองหรือไม่สบายตัว โดยเฉพาะเวลาที่หน้าอกเสียดสีกับเสื้อผ้า ซึ่งความเจ็บจะมีเป็นช่วง ๆ และหายไปเอง หรือบางคนอาจเป็นอย่างต่อเนื่อง
- ตึงหรือคันบริเวณเต้านม
อาการตึงเกิดจากการที่ผิวหนังรอบเต้านมถูกยืดออก และอาการคันอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังในบริเวณเต้านม เช่น ผิวแห้งหรือมีการระคายเคืองจากเสื้อผ้า
- สัญญาณเตือนที่คุณควรตรวจเพิ่ม
หากคลำบริเวณเต้านมแล้วพบก้อนแข็งผิดปกติ รู้สึกเจ็บหรือมีของเหลวไหลออกมาจากเต้านม เช่น น้ำใส เลือด หรือของเหลวขุ่น ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุให้ชัดเจน เนื่องจากอาการเหล่านี้อาจบอกถึงปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แค่ Gynecomastia แต่อาจกลายเป็น เนื้องอกเต้านมหรือการติดเชื้อได้
การดูแลและรักษาเมื่อเกิดภาวะ Gynecomastia ควรทำอย่างไร?
การดูแลและรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ ระยะเวลาที่เกิดอาการ และความรุนแรงของการโตของเต้านม โดยจะมีแนวทางดังนี้
- รอดูอาการ
สำหรับวัยรุ่นหรือผู้ที่เพิ่งเกิดอาการไม่นาน ภาวะนี้อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนตามธรรมชาติ ส่งผลให้เต้านมโตขึ้นแค่ชั่วคราว ซึ่งโดยปกติจะค่อย ๆ ยุบลงเองภายใน 6 เดือนถึง2 ปี โดยไม่ต้องรักษาใด ๆ แต่ระหว่างรอดูอาการ ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงของขนาดเต้านมอย่างต่อเนื่อง และหากพบว่าเต้านมโตขึ้นเรื่อย ๆ หรือมีอาการเจ็บมากขึ้น ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์เพื่อหาสาเหตุเพิ่มเติม
- หยุดหรือปรับยาที่เป็นต้นเหตุ
หากตรวจพบว่าภาวะ Gynecomastia ซึ่งเกิดจากผลข้างเคียงของยา เช่น ยารักษาความดันเลือดสูงบางชนิด ยาต้านโรคซึมเศร้าหรือยาสเตียรอยด์ แพทย์อาจจะต้องปรับขนาดยาหรือเปลี่ยนไปใช้ยาอื่น ๆ ที่มีผลต่อฮอร์โมนน้อยลง ซึ่งการหยุดหรือเปลี่ยนยาควรทำภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น เพื่อไม่ให้กระทบกับโรคที่กำลังรักษาอยู่
- รักษาโรคต้นเหตุ
ภาวะนี้อาจเกิดจากปัญหาสุขภาพอื่นที่ส่งผลต่อความสมดุลของฮอร์โมน เช่น โรคตับ โรคไต ภาวะต่อมไร้ท่อผิดปกติหรือเนื้องอกบางชนิด การรักษาที่โรคต้นเหตุจะช่วยให้ภาวะ Gynecomastia ดีขึ้น
- การใช้ยาเฉพาะทาง
สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรงหรือฮอร์โมนมีความไม่สมดุลอย่างชัดเจน อาจมีการใช้ยาที่ช่วยปรับระดับฮอร์โมนให้สมดุล เช่น ยาต้านฮอร์โมนเอสโตรเจนหรือยาที่ช่วยกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเพศชาย แต่การใช้ยาเหล่านี้จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจมีผลข้างเคียงได้
- การผ่าตัด
ในกรณีที่เต้านมมีขนาดใหญ่และใช้วิธีการดูแลรักษาอื่น ๆ แล้วยังไม่หาย การผ่าตัดอาจเป็นทางเลือกที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ โดยเป้าหมาย คือ การเอาเต้านมส่วนเกินออกและปรับแต่งรูปร่างหน้าอกให้กลับมาใกล้เคียงกับปกติ ซึ่งวิธีการผ่าตัดเพื่อแก้ภาวะ Gynecomastia มีหลายรูปแบบ เช่น การดูดไขมันร่วมกับการตัดเนื้อเยื่อบริเวณเต้านมออกหรือการตัดเนื้อเยื่อออกโดยตรง ซึ่งการตัดสินใจเลือกวิธีผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย และความต้องการของเจ้าตัว

การใช้ชีวิตประจำวันเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิด Gynecomastia
ต้องบอกว่าภาวะ Gynecomastia ไม่สามารถป้องกันได้ 100% เพราะบางครั้งอาจเกิดจากปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหรือโรคบางชนิด แต่ถ้าหากเราดูแลสุขภาพให้ดีอยู่เสมอจะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงและชะลอการเกิดภาวะนี้ได้ในระดับหนึ่ง มีอะไรบ้าง?
- รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ หากว่าคุณมีน้ำหนักที่มากเกินไปหรือเป็นโรคอ้วน จะทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
- รับประทานอาหารให้สมดุลและหลีกเลี่ยงการลดน้ำหนักแบบหักโหม ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ โปรตีนที่มีคุณภาพดีและไขมันที่ดีต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง น้ำตาลสูงและอาหารแปรรูป แต่ในทางกลับกันการลดน้ำหนักอย่างหักโหมเกินไปก็อาจทำให้ร่างกายเกิดความเครียด ส่งผลให้ความสมดุลของฮอร์โมนแย่ลง เพราะฉะนั้นจึงควรค่อย ๆ ลดน้ำหนักลงให้ถึงเกณฑ์
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายโดยเฉพาะประเภทเวทเทรนนิ่งจะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเพศชาย ขณะที่การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอจะช่วยควบคุมน้ำหนักและสุขภาพหัวใจ เราจึงควรออกกำลังทั้งสองรูปแบบ เพื่อให้เกิดความสมดุลของร่างกายและจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- ลดการดื่มแอลกอฮอล์และงดการใช้สารเสพติด แอลกอฮอล์เมื่อดื่มมากเกินไป จะส่งผลเสียต่อการทำงานของตับ และทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล ส่วนสารเสพติด เช่น กัญชาหรือยาบางชนิด อาจมีผลโดยตรงต่อการสร้างฮอร์โมนให้แย่ลงและรูปร่างของเต้านม
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือฮอร์โมนที่ไม่จำเป็น การใช้ฮอร์โมนเพศชายหรือเพศหญิงโดยไม่ได้รับการแนะนำจากแพทย์ รวมถึงการใช้ยาบางชนิดเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะ Gynecomastia ได้ หากจำเป็นต้องใช้ยารักษาโรคที่มีผลต่อฮอร์โมน ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น
Gynecomastia เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้ชายหลากหลายช่วงวัย แม้ว่าจะสามารถจะหายได้เอง แต่บางครั้งก็อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคบางชนิด เพราะฉะนั้นเราควรต้องคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกายอยู่เสมอ หรือถ้าหากรู้สึกว่ามีอาการและมันไม่หายสักที ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์เพื่อให้รู้ถึงสาเหตุให้แน่ชัด