Estrogen Blocker คืออะไร? เมื่อมีภาวะฮอร์โมนเพศหญิงเกินในผู้ชาย

Estrogen Blocker คืออะไร? เมื่อมีภาวะฮอร์โมนเพศหญิงเกินในผู้ชาย


รู้หรือไม่? จริง ๆ แล้วผู้ชายทุกคนมีฮอร์โมนเพศหญิงอยู่ในร่างกาย และถ้าหากว่ามีมากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสมรรถภาพทางเพศได้ ดังนั้น Estrogen Blocker คือ ทางเลือกหนึ่งในการช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกายของผู้ชายอย่างเรา แล้วมันคืออะไร? ในบทความนี้จะพาผู้ชายทุกท่านมาทำความรู้จักกับ Estrogen Blocker กัน

 

เมื่อพูดถึงฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen) หลายคนอาจคิดว่าฮอร์โมนเพศหญิงก็ต้องอยู่ในร่างกายของผู้หญิงเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว ผู้ชายก็มีฮอร์โมนชนิดนี้อยู่ด้วย เพียงแค่มีฮอร์โมนในปริมาณน้อยกว่าเท่านั้นเอง

ซึ่งในร่างกายของผู้ชายฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) จะช่วยควบคุมหลายระบบ เช่น

  • การทำงานของสมองและอารมณ์
  • การเผาผลาญไขมัน
  • สุขภาพของกระดูก
  • สมดุลของสมรรถภาพทางเพศ

อย่างไรก็ตาม หากว่าร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนมากเกินไปหรือเทสโทสเทอโรน (ฮอร์โมนเพศชาย) ลดลงจนทำให้ฮอร์โมนเสียสมดุลก็อาจทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “Estrogen Dominance” หรือ ภาวะฮอร์โมนเพศหญิงเกินในผู้ชายได้

5 สัญญาณเตือนเมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) เกินสมดุล

อาจมีหลาย ๆ คนที่ไม่รู้ตัวว่าอาการที่กำลังเป็นอยู่หรือที่เจออยู่ทุกวันนั้นเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจนเกิน  เช่น

  • หน้าอกเริ่มโตคล้ายผู้หญิง (Gynecomastia)

สัญญาณเตือนที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ หน้าอกเริ่มนูนขึ้นหรือจับแล้วรู้สึกมีเนื้อเต้านมมากกว่าปกติ ที่ไม่ได้เกิดจากไขมันเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากเนื้อเยื่อเต้านมที่ตอบสนองต่อฮอร์โมนเอสโตรเจน หากปล่อยไว้นานอาจทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในรูปร่างหรือเสื้อผ้าที่เคยใส่ได้

  • น้ำหนักขึ้นง่ายโดยเฉพาะตรงหน้าท้อง

ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีผลต่อการสะสมไขมันโดยเฉพาะที่หน้าท้อง เอวและหน้าอก ผู้ชายคนไหนที่เคยออกกำลังกายเล็กน้อยแต่ยังควบคุมน้ำหนักได้ อาจจะเริ่มรู้สึกว่าทำไมกินเหมือนเดิม แต่น้ำหนักกลับขึ้นง่ายผิดปกติ 

  • รู้สึกเหนื่อยง่าย กล้ามเนื้อลด

เมื่อระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนลดลงและเอสโตรเจนสูงขึ้น ร่างกายจะสร้างกล้ามเนื้อได้ยากขึ้น กล้ามเนื้อเดิมก็เริ่มหายไป ความแข็งแรงลดลง บางคนถึงขั้นรู้สึกว่าหมดแรง เหนื่อยง่าย แม้จะทำแค่กิจกรรมสบาย ๆ

  • มีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดหรือซึมเศร้า

ความไม่สมดุลของฮอร์โมนไม่ได้มีผลแค่ต่อร่างกาย แต่ยังส่งผลต่อสมองและอารมณ์ด้วย ระดับเอสโตรเจนที่ไม่สมดุลอาจทำให้เกิดความรู้สึกหงุดหงิด อ่อนไหวหรืออารมณ์แปรปรวนง่ายกว่าปกติ บางคนอาจจะรู้สึกเครียดหรือไปจนถึงซึมเศร้าโดยไม่มีสาเหตุ

  • สมรรถภาพทางเพศลดลง

​​หนึ่งในอาการที่จะกระทบความมั่นใจของผู้ชายมากที่สุด คือ ความต้องการทางเพศลดลง ซึ่งมันจะเกิดขึ้นเมื่อฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนลดลงและฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงเกินไป

 

สาเหตุที่ทำให้ฮอร์โมนเพศหญิงเพิ่มขึ้นมีอะไรบ้าง?

  • อายุที่เพิ่มขึ้น เมื่อผู้ชายอายุมากขึ้นระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนจะค่อย ๆ ลดลง ทำให้สัดส่วนระหว่างฮอร์โมนเพศชายและเพศหญิงไม่สมดุล
  • ไขมันส่วนเกิน ไขมันโดยเฉพาะบริเวณหน้าท้องจะมีเอนไซม์ที่ชื่อว่า Aromatase ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนให้กลายเป็นเอสโตรเจน
  • การดื่มแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์ส่งผลให้ตับทำงานแย่ลง ซึ่งเป็นอวัยวะที่คอยกำจัดฮอร์โมนส่วนเกิน ทำให้เอสโตรเจนค้างอยู่ในร่างกายมากขึ้น
  • ความเครียดสะสม เมื่อร่างกายเครียดจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งจะไปยับยั้งการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนให้ลดลง ส่งผลให้ความสมดุลของฮอร์โมนเพศนั้นเสียไป
  • การใช้ยาบางชนิดหรือโรคประจำตัว เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาต้านซึมเศร้าหรือโรคเกี่ยวกับตับและต่อมไร้ท่อ

หากคุณเริ่มสังเกตว่าร่างกายเริ่มเปลี่ยนไปในลักษณะเหล่านี้ อาจถึงเวลาที่ต้องไปเช็กฮอร์โมนแล้วครับ เพราะสาเหตุสำคัญที่แอบแฝงอยู่มักจะเกิดจากระดับเอสโตรเจนที่สูงเกินไป ซึ่งในปัจจุบันมีทางเลือกหนึ่งที่ช่วยจะปรับสมดุลของฮอร์โมนนี้ได้ คือ การใช้ Estrogen Blocker

Estrogen Blocker คืออะไร?

Estrogen Blocker หรือ ตัวยับยั้งฮอร์โมนเอสโตรเจน คือ ยาที่ช่วยลดการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกายของผู้ชาย เพื่อจะปรับสมดุลของฮอร์โมนให้กลับมาปกติตามเดิม โดยทั่วไป แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ คือ

 

1. Aromatase Inhibitors (AI)

ยากลุ่มนี้จะช่วยยับยั้งเอนไซม์ Aromatase ไม่ให้เปลี่ยนเทสโทสเทอโรนเป็นเอสโตรเจน ตัวอย่างยาที่แพทย์ใช้ในบางกรณี เช่น Anastrozole, Letrozole นิยมใช้กับผู้ชายที่ได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนหรือกำลังมีภาวะ Gynecomastia

 

2. Selective Estrogen Receptor Modulators (SERMs)

ยากลุ่มนี้ไม่ได้ไปลดระดับเอสโตรเจนโดยตรง แต่ไปขัดขวางไม่ให้ฮอร์โมนจับกับตัวรับ (Receptor) ในเนื้อเยื่อบางส่วน เช่น หน้าอก ส่งผลให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะยังอยู่ในร่างกาย แต่ก็ไม่สามารถออกฤทธิ์ได้เต็มที่ โดยเฉพาะจุดที่ทำให้เกิดอาการหน้าอกโตหรือสมรรถภาพลดลง ตัวอย่างยาที่แพทย์ใช้ เช่น Tamoxifen, Clomiphene 

 

ข้อควรระวังเมื่อใช้ยา Estrogen Blocker

แม้ตัวยาเหล่านี้จะมีประโยชน์ในทางการแพทย์ แต่ก็ไม่ควรใช้เองโดยเด็ดขาด เพราะการปรับระดับฮอร์โมนในร่างกายเป็นเรื่องที่ซับซ้อน หากใช้ในปริมาณหรือระยะเวลาที่ไม่เหมาะสม อาจเกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายได้ เช่น

  • ภาวะกระดูกพรุน เนื่องจากเอสโตรเจนมีส่วนช่วยในการรักษาความหนาแน่นของกระดูก แม้ในผู้ชายก็มีความสำคัญเช่นกัน
  • ความดันโลหิตสูงจากการเปลี่ยนแปลงสมดุลของระบบไหลเวียนเลือด
  • ปัญหาการนอนหลับหรืออาการอ่อนเพลีย จากการรบกวนวงจรของฮอร์โมน
  • สมดุลฮอร์โมนสลับกลับด้าน คือ เทสโทสเทอโรนสูงเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดสิว ผมร่วงหรืออารมณ์แปรปรวนได้

นอกจากนี้ยังมีบางคนที่เมื่อหยุดยากะทันหัน ร่างกายอาจเกิดการ “รีบาวด์” หรือร่างกายกลับมาสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนมากกว่าเดิม ทำให้ร่างกายเกิดอาการผิดปกติอีกครั้ง

ดังนั้น ก่อนเริ่มใช้ยาใด ๆ ควรตรวจระดับฮอร์โมนจากเลือดและปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านฮอร์โมนหรือเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-aging medicine) เพื่อประเมินภาวะฮอร์โมนในร่างกายอย่างรอบคอบ ทั้งฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen) และฮอร์โมนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมกับร่างกายของแต่ละคนมากที่สุด

วิธีการรักษาสมดุลของระดับฮอร์โมนแบบธรรมชาติ

หากยังไม่ได้อยู่ในระดับที่รุนแรงจนถึงขั้นต้องใช้ยา การปรับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ ก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเพศให้กลับมาเป็นปกติได้อย่างปลอดภัย เช่น

  • ลดไขมันส่วนเกินโดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง

เพราะไขมันเป็นสิ่งสำคัญที่ร่างกายใช้เปลี่ยนฮอร์โมนเพศชายเป็นเอสโตรเจน ยิ่งมีไขมันมากร่างกายก็ยิ่งผลิตเอสโตรเจนมากขึ้น การลดน้ำหนักจึงช่วยลดการเปลี่ยนจากฮอร์โมนเพศชายเป็นฮอร์โมนเพศหญิงได้

  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และอาหารแปรรูป

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจไปขัดขวางการสร้างฮอร์โมนเพศชายและกระตุ้นการผลิตเอสโตรเจน ส่วนอาหารแปรรูปที่มีไขมันทรานส์หรือสารเคมีสะสมสูง ก็อาจรบกวนการทำงานของตับ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญในการกำจัดฮอร์โมนเอสโตรเจนส่วนเกินออกจากร่างกาย

  • ออกกำลังกายเป็นประจำโดยเฉพาะการเวทเทรนนิ่ง

การออกกำลังเป็นการฝึกกล้ามเนื้อ เพื่อช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนตามธรรมชาติและช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ลดไขมันส่วนเกิน ซึ่งส่งผลต่อความสมดุลฮอร์โมนให้ดีขึ้น

  • นอนให้พอและจัดการความเครียด

การนอนหลับที่มีคุณภาพช่วยให้ร่างกายหลั่ง Growth hormone และเทสโทสเทอโรนในระดับที่เหมาะสม และช่วยลดความเครียดสะสม ซึ่งเป็นสาเหตุของการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ที่จะไปยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเพศชายได้

  • กินผักผลไม้ให้มากขึ้น

โดยเฉพาะผักตระกูลกะหล่ำ (เช่น บร็อกโคลี กะหล่ำปลี คะน้า) เพราะมีสารธรรมชาติอย่าง Indole-3-Carbinol (I3C) และ Diindolylmethane (DIM) ที่ช่วยกำจัดเอสโตรเจนส่วนเกินออกจากร่างกายตามธรรมชาติ

  • เสริมด้วยสารอาหารและสมุนไพรบางชนิด

อาหารเสริมบางกลุ่ม เช่น Zinc, Magnesium, Vitamin D หรือสมุนไพรที่มีข้อมูลสนับสนุนการปรับสมดุลฮอร์โมนเพศ เช่น Tribulus Terrestris, Tongkat Ali และ Ashwagandha ซึ่งอาจช่วยเพิ่มระดับเทสโทสเทอโรนและลดอาการอ่อนล้าได้ อย่างไรก็ตามควรใช้ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ที่เข้าใจด้านฮอร์โมน เพื่อป้องกันการใช้ยาเกินขนาดหรือกระทบกับยาชนิดอื่น ๆ

ภาวะฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen) เกินสำหรับผู้ชายอาจดูไม่ร้ายแรงนักในช่วงแรก แต่จริง ๆ แล้วมีผลกระทบต่อทั้ง สุขภาพกาย จิตใจและความมั่นใจในชีวิตประจำวันได้มากกว่าที่คุณคิด

หากคุณเริ่มรู้สึกว่าร่างกายเปลี่ยนไป ทั้งในเรื่องพลังงาน อารมณ์หรือสมรรถภาพทางเพศ อย่ามองข้ามสัญญาณเหล่านี้ เพราะมันอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าระดับฮอร์โมนในร่างกายของคุณกำลังไม่สมดุล เพราะฉะนั้นการดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ ทั้งการปรับพฤติกรรม ตรวจสุขภาพประจำปีหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านฮอร์โมน จะช่วยให้ร่างกายคุณกลับมาแข็งแรง มีความสมดุลและมั่นใจอีกครั้ง

9 พฤติกรรมเสี่ยง ที่ทำให้ผู้ชายผมร่วงโดยไม่รู้ตัว

9 พฤติกรรมเสี่ยง ที่ทำให้ผู้ชายผมร่วงโดยไม่รู้ตัว

อาการผมร่วงหรือผมบางไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ชายที่เริ่มเข้าสู่วัยกลางคนเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่วัยเรียน วัยรุ่น วัยทำงาน ไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ และหลาย ๆ ครั้งอาการผมร่วงไม่ได้เกิดจากเรื่องกรรมพันธุ์อย่างเดียวเหมือนที่ผู้ชายหลาย ๆ คนคิด แต่มันยังมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น พฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวันบางอย่างที่เป็นตัวเร่งให้เส้นผมร่วงเร็วกว่าปกติ

โดยในบทความนี้จะมาผู้ชายทุกท่านมาเช็คกันว่า พฤติกรรมในชีวิตประจำวันไหนบ้างที่เสี่ยงและอาจทำให้เจอกับปัญหาผมร่วง ผมบาง ก่อนวัย ไปดูกัน!

 

1. สระผมด้วยน้ำอุ่นจัดเกินไป

การสระผมด้วยน้ำอุ่นอาจทำให้รู้สึกผ่อนคลายเวลาอาบน้ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน แต่รู้หรือไม่ว่า ถ้าหากคุณใช้น้ำที่ร้อนเกินไปสระผมเป็นประจำ จะทำให้ความชุ่มชื้นบนหนังศีรษะถูกล้างออกไปจนหมด ทำให้หนังศีรษะแห้ง เกิดอาการคัน หรือรังแคตามมา แล้วยังทำให้เส้นผมสูญเสียความยืดหยุ่น ส่งผลให้เส้นมีความเปราะและหลุดร่วงง่ายกว่าปกติ

 

2. ใช้เจลหรือแว็กซ์จัดทรงผมทุกวัน

การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยจัดทรงผม เช่น เจล แว็กซ์ หรือสเปรย์ฉีดผม สิ่งเหล่านี้มักมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และสารเคมีบางชนิดที่อาจทำให้เส้นผมแห้งเสีย หากล้างออกได้ไม่ดีพอและไม่สะอาด สารเคมีเหล่านี้จะสะสมอยู่บนหนังศีรษะและอุดตันรูขุมขน ทำให้เส้นผมที่จะงอกใหม่งอกได้ยากขึ้น และยิ่งเมื่อคุณใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ก็จะยิ่งเสี่ยงทำให้เส้นผมมีความอ่อนแอและร่วงได้ง่าย

 

3. สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์บ่อย

บุหรี่มีสารนิโคตินที่ทำให้หลอดเลือดหดตัว ส่วนแอลกอฮอล์ทำให้การไหลเวียนเลือดที่ไปเลี้ยงบนหนังศีรษะลดลง และเมื่อรากผมไม่ได้รับสารอาหารและออกซิเจนที่เพียงพอ ก็จะส่งผลให้ผมร่วงง่าย นอกจากนี้ยังผมที่จะขึ้นใหม่ขึ้นช้าและยากขึ้น ทำให้ผมบางลงเรื่อย ๆ อีกด้วย

 

4. มีความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว

ความเครียดเรื้อรังจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลมากเกินไป ส่งผลให้วงจรของเส้นผมสั้นลง และเกิดภาวะผมร่วงเฉียบพลัน (Telogen Effluvium) ได้บ่อยขึ้น หรือที่เรามักได้ยินคนพูดบ่อย ๆ ว่าเครียดจนผมร่วง เพราะฉะนั้นควรหากิจกรรมหรือวิธีผ่อนคลายเครียด เช่น การออกกำลังกาย การทำสมาธิ หรือการใช้เวลากับกิจกรรมที่ชื่นชอบ เพื่อลดความเครียดและลดการหลั่งของฮอร์โมนคอร์ติซอล

 

5. นอนไม่เพียงพอหรือนอนน้อยเป็นประจำ

ช่วงเวลาการพักผ่อนเป็นช่วงที่ร่างกายใช้ในการฟื้นฟูระบบต่าง ๆ รวมถึงรากผมด้วย หากว่าคุณนอนหลับไม่เพียงพอ ก็จะทำให้ระดับฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth Hormone) ของเส้นผมนั้นหลังออกมาไม่พอ และทำให้มันทำงานได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้ผมบางและร่วงง่ายกว่าคนที่นอนหลับเพียงพอ

 

6. รับประทานอาหารที่สมดุลและครบถ้วน

เส้นผมต้องการสารอาหารประเภทโปรตีนเป็นส่วนประกอบหลัก รวมถึงธาตุเหล็ก สังกะสี และวิตามินบี ถ้าหากว่าคุณได้รับสารอาหารที่ไม่สมดุลหรือกินแต่อาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นประจำ จะทำให้รากผมขาดสารอาหารที่จำเป็นและได้รับสารอาหารที่ไม่ครบถ้วน ส่งผลให้มีอาการผมร่วงเร็วกว่าปกติ การเพิ่มสารอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ปลา ถั่ว ไข่ และผักผลไม้สด จะช่วยให้รากผมแข็งแรงขึ้นและลดอาการผมร่วงได้

 

7. ดื่มคาเฟอีนมากเกินไป

ถ้าหากว่าคุณดื่มกาแฟหรือชาเขียววันละ 1–2 แก้ว ยังถือว่ามีประโยชน์และปกติ แต่ถ้าคุณเริ่มดื่มเกินวันละ 3–4 แก้ว จะเริ่มผิดปกติแล้ว เพราะจะทำให้ร่างกายเสียความสมดุล และรบกวนการดูดซึมธาตุเหล็กและแคลเซียม ซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อการเติบโตของเส้นผม หากคุณดื่มคาเฟอีนมากจนเกินไปยังทำให้นอนหลับยาก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของปัญหาผมร่วงอีกด้วย

 

8. เกาหรือดึงผมเล่นบ่อย ๆ

การดึงผมหรือเกาหัวแรง ๆ หลายคนอาจทำโดยไม่รู้ตัว เช่น ดึงผมเล่นเวลาเครียด หรือเกาหนังหัวแรง ๆ เพราะรู้สึกคัน แต่รู้หรือไม่ว่าพฤติกรรมเหล่านี้อาจทำให้รูขุมขนที่ศีรษะมีการบาดเจ็บหรืออักเสบได้ เมื่อรูขุมขนเสียหาย เส้นผมที่ขึ้นใหม่ก็อาจขึ้นช้าลงหรือมีเส้นเล็กลงกว่าเดิมได้ หากทำบ่อย ๆ ทำให้เกิดแผลเป็นเล็ก ๆ บนหนังศีรษะ ซึ่งอาจทำให้ผมไม่สามารถงอกใหม่ได้เลย

 

9. สวมหมวกแน่นและนานเกินไป

การใส่หมวกที่รัดแน่นเป็นเวลานาน ทำให้การไหลเวียนเลือดของหนังศีรษะลดลง รวมถึงความอับชื้นจากเหงื่อตอนใส่หมวกก็เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดเชื้อราและรังแคบนหนังศีรษะ และเมื่อหนังศีรษะไม่แข็งแรง เส้นผมของคุณก็จะร่วงมากขึ้นและง่ายกว่าปกติ

วิธีดูแลเส้นผมเบื้องต้นสำหรับผู้ชายมีอะไรบ้าง?

  • เลือกแชมพูที่อ่อนโยนและเหมาะกับสภาพหนังศีรษะ

ผู้ชายหลายคนอาจชอบใช้แชมพูที่ให้ความรู้สึกสะอาดแบบจัดเต็ม แต่จริง ๆ แล้วการเลือกแชมพูที่มีสารเคมีแรงเกินไปอาจทำให้หนังศีรษะแห้งและระคายเคืองได้ เพราะฉะนั้นควรเลือกแชมพูที่อ่อนโยนและมีสูตรที่เหมาะกับปัญหานั้น ๆ เช่น หนังศีรษะมัน มีรังแคหรือผมแห้งเสีย เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นของหนังศีรษะและเส้นผม

  • บำรุงรากผมด้วยเซรั่มหรือโทนิกเป็นประจำ

    การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยบำรุงเส้นผม เช่น เซรั่มหรือโทนิก สามารถช่วยกระตุ้นรากผม เพิ่มการไหลเวียนเลือดและมอบสารอาหารที่จำเป็นให้เส้นผมแข็งแรงขึ้น ลดการหลุดร่วง ควรนวดเบา ๆ ที่หนังศีรษะเพื่อช่วยให้เซรั่มซึมเข้าหนังศีรษะได้ดียิ่งขึ้น

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด

    การออกกำลังกายนั้นนอกจากจะดีต่อร่างกายทั้งหมดแล้ว ยังช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงรากผมได้ดียิ่งขึ้น ทำให้เส้นผมได้รับออกซิเจนและสารอาหารครบถ้วน ซึ่งจะทำให้รากผมแข็งแรงผมหลุดร่วงยาก ดังนั้นการออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที 3–4 ครั้งต่อสัปดาห์ก็เพียงพอ

  • รับประทานอาหารที่มีโปรตีนและวิตามินให้เพียงพอ

    โปรตีน คือ วัตถุดิบหลักของเส้นผม ดังนั้นควรกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมันหรือไขมันน้อย เช่น ไข่ ปลา หรือถั่ว นอกจากนี้ควรกินอาหารที่มีธาตุเหล็ก สังกะสี วิตามินบี และกรดไขมันโอเมก้า 3 เพื่อช่วยบำรุงรากผมและเส้นผมให้แข็งแรง

  • ​​พักผ่อนให้เพียงพอและลดความเครียด

    การนอนหลับที่มีคุณภาพและการจัดการความเครียดมีความสำคัญมาก เพราะฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต (Growth Hormone) ของเส้นผมจะทำงานได้ดีที่สุดตอนที่ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผม

    หากเริ่มรู้สึกว่าผมร่วงเยอะผิดปกติ (เกินวันละ 100 เส้น) หรือผมบางลงผิดปกติเป็นหย่อม ๆ คุณไม่ควรละเลยเด็ดขาด ควรไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมหรือแพทย์ผิวหนัง เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรับคำแนะนำที่เหมาะสมก่อนที่ปัญหาจะลุกลามเกินจะแก้ไข

ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับผมร่วงของผู้ชายที่ควรรู้มีอะไรบ้าง?

  1. ❌ สระผมทุกวันทำให้ผมร่วง

✅ จริง ๆ แล้วการสระผมทุกวันไม่ได้ทำให้ผมร่วงมากขึ้น โดยปกติคนเราสามารถมีผมร่วงได้วันละ 50–100 เส้น อยู่แล้วตามธรรมชาติ เพราะเป็นเส้นผมที่หมดอายุขัย แต่การสระผมที่ผิดวิธีหรือเลือกแชมพูที่ไม่เหมาะสมต่างหากที่ทำให้ผมร่วงผิดปกติ

  1. ❌ การใส่หมวกกันน็อคทำให้ผมร่วงจนหัวล้าน

    ✅ มีหลายคนกลัวการใส่หมวกกันน็อคเพราะเชื่อว่าจะทำให้ผมร่วง แต่ในความเป็นจริง การใส่หมวกกันน็อคไม่ใช่สาเหตุโดยตรงที่ทำให้หัวล้าน แต่เกิดจากความอับชื้น ความร้อน และสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ในหมวก หากหมวกไม่สะอาดหรือไม่ได้ซักและมีการซับเหงื่อเข้าไปอย่างสม่ำเสมอ อาจทำให้เกิดรังแค เชื้อรา หรือการระคายเคืองบนหนังศีรษะ ซึ่งเป็นปัจจัยที่กระทบต่อเส้นผมได้ ดังนั้นสิ่งที่ควรทำคือทำความสะอาดหมวกกันน็อคอยู่เสมอ ไม่ใช่การหลีกเลี่ยงที่จะหมวกกันน็อค

  2. ❌ ผมร่วงเยอะคือสัญญาณโรคร้ายแรงเสมอ

    ✅ แม้ว่าบางครั้งการผมร่วงอาจเกี่ยวข้องกับโรคที่ดูรุนแรง เช่น ไทรอยด์ผิดปกติ โลหิตจาง หรือโรคภูมิคุ้มกันบางชนิด แต่จริง ๆ แล้วอาการผมร่วงของผู้ชายส่วนใหญ่เกิดจาก พันธุกรรมและฮอร์โมนเพศชาย (Androgenetic Alopecia) หรือเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ความเครียด อดนอน สูบบุหรี่ หรือการดูแลเส้นผมไม่เหมาะสม แต่ถ้าหากผมร่วงมากผิดปกติเป็นเวลานาน ควรเข้าพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง จะได้รักษาอย่างถูกวิธี

  3. โกนผมหรือตัดผมบ่อย ๆ แล้วจะทำให้ผมขึ้นหนา

✅ อีกหนึ่งความเชื่อที่พบบ่อย แต่ความจริงแล้วการตัดผมหรือโกนผม ไม่สามารถทำให้ผมที่ขึ้นใหม่หนาหรือแข็งแรงกว่าเดิมได้ เพราะรากผมและรูขุมขนไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามการโกน สิ่งที่ดูเหมือนผมขึ้นหนาคือการที่ปลายผมใหม่มีลักษณะตรง จึงดูหนากว่าปกติในตอนแรกเท่านั้น



ความคิดของผู้ชายในปัจจุบัน คงไม่มีใครที่อยากจะหัวล้านก่อนวัยผมเองก็เช่นกัน ทุกคนจึงต้องพยายามที่จะดูแลเส้นผมของตัวเองให้ดีที่สุด เพราะมันส่งผลต่อความมั่นใจและบุคลิกภาพในทุก ๆ ส่วน แต่หลาย ๆ ครั้งเกิดจากพฤติกรรมเล็ก ๆ ที่เรามองข้าม 

หากคุณอยากกลับมาดูแลเส้นผมและหนังศีรษะของคุณให้แข็งแรง การปรับไลฟ์สไตล์ เช่น การนอนพักผ่อนให้เพียงพอ การจัดการหรือลดความเครียด และการดูแลหนังศีรษะอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยชะลอการผมร่วงและทำให้เส้นผมแข็งแรงได้ในระยะยาว

รู้ก่อนจะสาย! เมื่อความเครียดมีผลต่อการเสื่อมสมรรถภาพเพศ ED ของผู้ชาย

รู้ก่อนจะสาย! เมื่อความเครียดมีผลต่อการเสื่อมสมรรถภาพเพศ ED ของผู้ชาย

คุณเคยรู้สึกเครียดจนหมดพลัง ไม่อยากทำอะไร แม้กระทั่งไม่มีอารมณ์ทางเพศไหม?

ความเครียด คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่อาจค่อย ๆ บั่นทอนความมั่นใจและส่งผลต่อสุขภาพทางเพศของผู้ชายโดยที่คุณไม่ทันรู้ตัว

บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction: ED) ว่าทั้งสองอย่างนี้มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร และผู้ชายที่คิดว่ามีอาการนี้ควรดูแลตัวเองยังไง เพื่อให้สุขภาพกายและใจดีขึ้นไปพร้อม ๆ กัน

ED หรือ ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ คืออะไร?

ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction: ED) คือ ภาวะที่อวัยวะเพศของผู้ชายแข็งตัวได้ไม่เต็มที่ แข็งตัวไม่นานพอสำหรับการมีเพศสัมพันธ์ หรือเรียกง่าย ๆ ว่านกเขาไม่ขันนั่นเอง ซึ่งอาจเป็นแค่บางครั้งที่เกิดจากความเหนื่อยล้าของร่างกายหรือเกิดอย่างต่อเนื่องจนทำให้กระทบต่อการมีชีวิตคู่และความมั่นใจของตัวเอง

หลาย ๆ คนเข้าใจว่าภาวะ ED จะเกิดขึ้นกับเฉพาะผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ความเป็นจริงผู้ชายวัยทำงานที่มีความเครียดสะสมจากการทำงาน การเงินหรือครอบครัว ก็สามารถมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ ED ได้เช่นกัน

#สุขภาพผู้ชาย #วัยทอง #ED #ฮอร์โมน #อาหารเสริม #สุขภาพ #Men #สูงวัย

ความเครียดส่งผลต่อสมรรถภาพทางเพศของผู้ชาย (ED) ได้อย่างไร?

การแข็งตัวของอวัยวะเพศเกิดจากการทำงานร่วมกันที่ซับซ้อนของระบบประสาท ฮอร์โมน หลอดเลือด และจิตใจ ทุกระบบต้องทำงานพร้อม ๆ กันจึงจะทำให้น้องชายเกิดการแข็งตัวที่สมบูรณ์ แต่เมื่อคุณเริ่มสะสมความเครียดจนเรื้อรัง การทำงานของระบบต่าง ๆ อาจถูกรบกวน ได้แก่

  • ฮอร์โมนความเครียดสูงเกินไป

    เมื่อมีความเครียดอย่างต่อเนื่อง ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ระดับฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ลดลง ซึ่งเมื่อฮอร์โมนเพศชายนี้ลดลงความต้องการทางเพศและการแข็งตัวก็จะลดลงตามไปด้วย
  • การไหลเวียนเลือดผิดปกติ

    ความเครียดจะทำให้ร่างกายเข้าสู่โหมดการตอบสนองแบบฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ โดยจะมีอาการ เช่น หัวใจเต้นเร็ว ความดันเลือดพุ่งสูงขึ้น และหลอดเลือดหดตัว ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อสำคัญอื่น ๆ แทนที่จะไปยังอวัยวะเพศ และเมื่อการไหลเวียนเลือดไปยังอวัยวะเพศไม่เพียงพอ ก็จะทำให้การแข็งตัวยากหรือไม่เต็มที่
  • สมองไม่โฟกัสกับความรู้สึกทางเพศ

    เมื่อสมองของคุณเต็มไปด้วยความกังวลและความเครียด สมองส่วนที่ควรจะไปกระตุ้นความตื่นตัวทางเพศจะถูกกดทับ และการปล่อยสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับความสุข เช่น โดพามีน (Dopamine) และ เซโรโทนิน (Serotonin) จะลดลง ทำให้ความรู้สึกทางเพศลดลงตามไปด้วย ถึงแม้จะมีสิ่งที่มากระตุ้น แต่สมองก็อาจตอบสนองได้ไม่เต็มที่เหมือนเดิม
  • เกิดความเครียดซ้ำเติม

    เมื่อผู้ชายเริ่มเจอกับอาการ ED ไม่ว่าจะเป็นการแข็งตัวของน้องชายที่ไม่เต็มที่หรือการแข็งตัวที่ไม่นาน ก็จะทำให้เกิดความกังวลและสูญเสียความมั่นใจไป ทำให้เกิดความเครียดยิ่งกว่าเดิม ยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้สมรรถภาพทางเพศแย่ลงไปอีก เป็นวงจรที่อันตรายยากต่อการแก้ไขหากปล่อยไว้นานและไม่มีการรักษา

จริง ๆ แล้ว นอกจากความเครียดแล้ว ก็ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศของผู้ชายร่วมด้วย ทั้งในเรื่องของสุขภาพทางกายหรือพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นต้นเหตุให้นำไปสู่ปัญหาของสุขภาพกายและจิตใจได้เช่นเดียวกัน

วิธีเช็กสัญญาณที่อาจบอกว่าคุณกำลังเสี่ยงจะมีภาวะ ED ที่เกิดจากความเครียด

  • รู้สึกเหนื่อยล้าและเครียดเกือบทุกวัน ตื่นมาแล้วรู้สึกหมดแรง ไม่มีแรงจะทำอะไร อาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายอยู่ภายใต้ความเครียดเรื้อรัง
  • มีปัญหาการนอน นอนไม่หลับหรือชอบตื่นกลางดึกบ่อย ๆ การที่พักผ่อนไม่เพียงพอทำให้ร่างกายฟื้นฟูฮอร์โมนและระบบประสาทได้ไม่เต็มที่ ส่งผลโดยตรงต่อสมรรถภาพทางเพศ
  • รู้สึกไม่มีอารมณ์ทางเพศหรือความต้องการทางเพศลดลง ความเครียดและระดับฮอร์โมนเพศชายที่น้อยลง จะทำให้ความสนใจในเรื่องเพศค่อย ๆ หายไป
  • อวัยวะเพศไม่แข็งตัวเมื่อตื่นนอนตอนเช้า สามารถบ่งบอกถึงสุขภาพทางเพศได้เป็นอย่างดี ถ้าหากน้องชายไม่แข็งตัวตอนเช้ามานาน อาจเกี่ยวข้องกับความเครียดและปัญหาการไหลเวียนเลือด
  • อวัยวะเพศแข็งตัวยากหรือแข็งตัวได้ไม่นาน ไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้จนเสร็จหลายครั้ง
  • อวัยวะเพศแข็งตัวเมื่อช่วยตัวเอง แต่ไม่แข็งตัวเวลามีเพศสัมพันธ์ อาจมีสาเหตุมาจากปัญหาด้านจิตใจและความเครียด
  • รู้สึกกังวลจนหมดความมั่นใจเวลาต้องมีเพศสัมพันธ์ กังวลว่าจะทำไม่ได้หรือไม่สำเร็จอีก

หากคุณพบว่ามีหลายข้อที่เข้าข่ายและรู้สึกว่าตรงกับตัวเอง อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าความเครียดเริ่มส่งผลต่อร่างกายและสุขภาพของคุณแล้ว ทางที่ดีควรเริ่มจากการปรับพฤติกรรมเพื่อลดความเครียด และหากว่ามีอาการ ED ต่อเนื่อง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง เพราะบางครั้งภาวะ ED อาจไม่ใช่แค่เรื่องของความเครียดเท่านั้น แต่อาจเป็นสัญญาณบอกถึงโรคอื่น ๆ เช่น เบาหวาน ความดัน หรือโรคหัวใจได้เช่นกัน

#สุขภาพผู้ชาย #วัยทอง #ED #ฮอร์โมน #อาหารเสริม #สุขภาพ #Men #สูงวัย

เคล็ดลับจัดการความเครียดและลดความเสี่ยงการเกิดภาวะ ED

แม้ว่าความเครียดจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตประจำวัน แต่เราสามารถจัดการและลดผลกระทบจากความเครียดที่จะเกิดขึ้นได้ เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นปัญหาสุขภาพที่ลุกลามไปจนถึงเรื่องสมรรถภาพทางเพศของผู้ชาย จะมีอะไรบ้าง?

  • พักผ่อนให้เพียงพอ

    การนอนหลับอย่างมีคุณภาพ 7–8 ชั่วโมงต่อวัน จะช่วยฟื้นฟูทั้งสมอง ระบบประสาทและการหลั่งของฮอร์โมน ในระหว่างที่เราหลับร่างกายจะปรับสมดุลของฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ซึ่งจำเป็นต่อสมรรถภาพทางเพศของผู้ชาย หากว่าคุณพักผ่อนไม่เพียงพอฮอร์โมนนี้จะลดลง
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

    ควรกินอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนคุณภาพดีและไขมันดี (เช่น ปลา อะโวคาโด ถั่ว) ช่วยเสริมให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น เป็นการบำรุงระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งช่วยเรื่องการแข็งตัวของอวัยวะเพศ และควรลดหรือหลีกเลี่ยงอาหารประเภททอด มีน้ำตาลสูงและมีไขมันอิ่มตัวทำให้หลอดเลือดเสื่อมเร็วขึ้น
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

    การออกกำลังไม่เพียงแต่จะช่วยให้กระตุ้นการไหลเวียนเลือดดีขึ้น แต่ยังช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินหรือสารแห่งความสุข ที่ช่วยลดความเครียดและปรับสมดุลฮอร์โมนได้ สามารถออกกำลังกายได้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นคาร์ดิโอ (เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน) หรือเวทเทรนนิ่ง
  • ฝึกการผ่อนคลายเมื่อเจอกับความเครียด

    ความเครียดที่เกิดขึ้น หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่จัดการ อาจจะสะสมจนส่งผลกระทบต่อสมรรถภาพทางเพศของผู้ชายได้ เพราะฉะนั้นคุณควรฝึกวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยผ่อนคลายจิตใจและลดความเครียด เช่น การหายใจลึก ๆ การทำสมาธิ การเล่นโยคะหรือการฝึกสติ วิธีเหล่านี้จะช่วยให้สมองของคุณปลอดโปร่ง ลดฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) และทำให้อารมณ์กลับมาสมดุลมากขึ้นได้
  • ลดแอลกอฮอล์และงดการสูบบุหรี่

    ทั้งแอลกอฮอล์และบุหรี่ส่งผลเสียต่อการทำงานของหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดีและเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับต้น ๆ ของการเกิดภาวะ ED อีกด้วย หากว่าคุณต้องการดูแลสมรรถภาพทางเพศในระยะยาว ควรที่จะลดการดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลงและงดการสูบบุหรี่
  • เปิดใจคุยกับคู่ของคุณ

    หากว่าคุณเก็บปัญหาและความเครียดไว้คนเดียวอาจทำให้ต้องแบกรับความเครียดที่หนักขึ้น การที่ผู้ชายได้พูดคุยกับคู่ จะช่วยลดความกดดันและสร้างความเข้าใจกับคู่ของคุณได้ หรือปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์หรือที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิต ก็เป็นอีกทางออกที่จะช่วยหาสาเหตุและวิธีแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด
  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ

    อย่างที่ผมกล่าวไว้ข้างต้นว่าบางครั้งภาวะ ED ก็ไม่ได้เกิดจากความเครียดเพียงอย่างเดียว แต่ยังอาจเกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรังอื่น ๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูงหรือโรคหัวใจ เพราะฉะนั้นการตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้คุณรู้สุขภาพร่างกายของตัวเอง และสามารถจัดการปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

มาถึงตรงนี้คุณคงเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและภาวะ ED ดีขึ้นแล้ว เราเชื่อว่าความเครียดนั้นไม่ใช่เรื่องที่ผู้ชายทุกคนมองข้ามอีกต่อไป เพราะนอกจากความเครียดจะกระทบต่อสุขภาพร่างกายกับจิตใจแล้ว มันยังส่งผลไปถึงสมรรถภาพทางเพศของผู้ชายด้วยเช่นกัน

หากว่าคุณเป็นหนึ่งคนที่กำลังเผชิญกับทั้งความเครียดและอาการ ED อย่าปล่อยให้ปัญหานี้ลุกลามจนยากที่จะแก้ไข ควรเริ่มการดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ และถ้าคุณได้อ่านบทความนี้จบแล้ว ก็จะช่วยให้ผู้ชายทุกคนรู้เท่าทันร่างกาย ความเครียด และวิธีในการจัดการปัญหานี้ได้อย่างเหมาะสม ทำให้คุณกลับมามีความมั่นใจ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกครั้ง

เจาะลึกวิธีสร้างความแข็งแรงของผู้ชายที่อายุมากขึ้น ด้วยการสร้างกล้ามเนื้อทำอย่างไร?

เจาะลึกวิธีสร้างความแข็งแรงของผู้ชายที่อายุมากขึ้น ด้วยการสร้างกล้ามเนื้อทำอย่างไร?

เมื่อพูดถึงการดูแลสุขภาพของผู้ชายเมื่ออายุมากขึ้น หลายคนอาจจะคิดไปที่เรื่องของน้ำหนัก ความดันหรือระดับน้ำตาลในเลือด แต่สิ่งหนึ่งที่มักถูกลืมคือเรื่องของ “กล้ามเนื้อ” ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเมื่อผู้ชายมีอายุที่มากขึ้น กล้ามเนื้อไม่ได้มีเพื่อให้ดูรูปร่างดีเท่านั้น แต่มันยังเชื่อมกับระบบเผาผลาญ ฮอร์โมน สมรรถภาพ รวมถึงการใช้ชีวิตในประจำวันระยะยาวด้วย 

ซึ่งทุกคนรู้หรือไม่ว่า เวลาที่เราอายุมากขึ้น.. กล้ามเนื้อของคนเราก็จะลดลงเรื่อย ๆ ด้วย

 

ทำไมเมื่ออายุมากขึ้นกล้ามเนื้อถึงลดลง?

ผู้ชายทุกคนจะสูญเสียกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่องตามอายุที่มากขึ้น โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นภาพเมื่อหลังอายุ 30 ปี กล้ามเนื้ออาจลดลง 3–8% ทุก 10 ปี และจะยิ่งเห็นภาพได้ชัดมากขึ้นเมื่อเข้าสู่วัย 60 ปีขึ้นไป อัตราการลดลงของกล้ามเนื้ออาจขึ้นไปถึง 10% ทุก 10 ปี หากไม่ได้รับการดูแล ภาวะนี้เรียกว่า Sarcopenia หรือภาวะกล้ามเนื้อลดลงตามวัย ซึ่งมีสาเหตุจากหลายปัจจัย ได้แก่

  • ระดับฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ที่ลดลง ทำให้ร่างกายสร้างกล้ามเนื้อได้ยากขึ้น
  • การใช้ชีวิตประจำวันที่เคลื่อนไหวน้อยลง ทำให้เกิดขาดการออกกำลังกายแบบต้านแรง
  • การได้รับโปรตีนและสารอาหารไม่เพียงพอ
  • การพักผ่อนไม่เพียงพอและความเครียดเรื้อรัง

แม้ว่าการที่กล้ามเนื้อลดจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ แต่ถ้าหากคุณปล่อยไว้โดยไม่ดูแลรักษากล้ามเนื้อให้ดี ก็อาจนำไปสู่การสูญเสียกล้ามเนื้อมากจนเกินไป ซึ่งมันก็จะส่งผลต่อสุขภาพโดยตรง

สัญญาณเตือนว่ากล้ามเนื้อเริ่มลดลงแล้วมีอะไรบ้าง?

ผู้ชายสามารถสังเกตตัวเองได้จากอาการและการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ของร่างกายในชีวิตประจำวัน ได้ดังนี้

  1. เริ่มยกของหรือเดินขึ้นบันไดยากกว่าแต่ก่อน สิ่งที่เคยทำได้ง่าย กลับต้องใช้แรงมากขึ้น รู้สึกเหนื่อยเร็วกว่าปกติหรือต้องหยุดพักบ่อย ๆ แม้จะทำแค่กิจกรรมเบา ๆ 
  2. น้ำหนักลด แต่รูปร่างกลับไม่กระชับ การลดลงของกล้ามเนื้อไม่ได้ทำให้หุ่นดีหรือเฟิร์มขึ้น แต่คือการทำให้แขน ขา เล็กลง ดูลีบ และขาดความแข็งแรง
  3. ท่าทางการใช้ชีวิตเปลี่ยนไป เช่น เดินช้าลง หลังค่อม กล้ามเนื้อที่อ่อนแรง อาจส่งผลต่อความแข็งแรงของร่างกาย ทำให้ทรงตัวได้ไม่ดีเท่าเดิม เกิดอาการปวดหลัง ปวดเข่า และเสี่ยงที่จะเกิดการหกล้มได้ง่ายขึ้น
  4. เจ็บป่วยบ่อยและใช้เวลาฟื้นตัวนานขึ้น กล้ามเนื้อไม่ได้มีหน้าที่แค่ช่วยในการเคลื่อนไหว แต่ยังช่วยเรื่องการเผาผลาญพลังงานและเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ซึ่งถ้าหากว่ากล้ามเนื้อลดลง ร่างกายก็จะฟื้นตัวได้ช้ากว่าเดิมเมื่อมีอาการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ
  5. แรงบีบมืออ่อนลง งานวิจัยทางการแพทย์ใช้แรงบีบมือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสุขภาพของกล้ามเนื้อ หากบีบมือได้ไม่แน่นเหมือนเดิมหรือรู้สึกว่าไม่ค่อยมีแรงบีบ แปลว่ากล้ามเนื้อกำลังลดลง

เมื่อคุณรู้สึกว่าเริ่มมีอาการเหล่านี้ เป็นสัญญาณว่าร่างกายกำลังมีกล้ามเนื้อที่ลดลง และควรเริ่มปรับพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ออกกำลังกาย รับสารอาหารโปรตีนให้เพียงพอ และพักผ่อนให้เหมาะสม เพื่อช่วยชะลอการสูญเสียกล้ามเนื้อให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ทำไมผู้ชายควรต้องสร้างและรักษากล้ามเนื้อเมื่ออายุมากขึ้น?

  1. ช่วยรักษาระดับการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย

    กล้ามเนื้อมีหน้าที่ในการช่วยเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ยิ่งมีกล้ามเนื้อมากก็จะยิ่งช่วยเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น แม้จะอยู่ในช่วงร่างกายพักอยู่ก็ตาม ในทางตรงกันข้ามหากคุณมีกล้ามเนื้อลดลง อัตราการเผาผลาญก็จะลดลงตามไปด้วยทำให้ร่างกายสะสมไขมันได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคอ้วน เบาหวานและโรคหัวใจ

  2. มีความเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเพศชาย

    กล้ามเนื้อมีความสัมพันธ์กับระดับฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ซึ่งมีความสำคัญมากสำหรับผู้ชาย เพราะฮอร์โมนนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่ออารมณ์ พลังงานในการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงสมรรถภาพทางเพศ ดังนั้นการรักษากล้ามเนื้อให้เพียงพอและเหมาะสม จะช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเพศชายให้เป็นไปตามธรรมชาติและชะลอการลดลงของฮอร์โมนเมื่ออายุมากขึ้นได้อีกด้วย

  3. ปกป้องกระดูกและข้อ

    กล้ามเนื้อที่แข็งแรงจะทำหน้าที่เหมือนเป็นเกราะป้องกันให้กับกระดูกและข้อ เพราะจะช่วยพยุงร่างกายและลดแรงกระแทกที่จะกระทบต่อกระดูกโดยตรง หากคุณรักษากล้ามเนื้อไว้ได้ดี ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของโรค เช่น กระดูกพรุน ข้อเสื่อมและการหกล้มได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากสำหรับผู้ชายในวัยกลางคนและผู้สูงอายุ

  4. ยืดคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น

กล้ามเนื้อที่แข็งแรงนอกจากจะทำร่างกายดูมีความฟิตมากขึ้นแล้ว ยังส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น

  • ยกของหนักได้ง่าย ๆ โดยไม่บาดเจ็บหรือปวด
  • เดินไกล ๆ หรือขึ้นบันไดโดยไม่เหนื่อยง่าย
  • สามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งได้สนุกมากยิ่งขึ้น

งานวิจัยยังพบว่า ผู้ชายที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรงมีอัตราการเกิดโรคเรื้อรังและอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่าผู้ที่มีกล้ามเนื้อน้อย ฉะนั้นการรักษากล้ามเนื้อให้เหมาะสม คือ การลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและอายุที่ยืนขึ้น

  1. เสริมภูมิคุ้มกันและการฟื้นตัวของร่างกาย

    กล้ามเนื้อยังมีหน้าที่เป็นแหล่งเก็บโปรตีนสำรองของร่างกาย เมื่อเกิดอาการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ ร่างกายจะดึงโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้ซ่อมแซมและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน หากว่าคุณมีกล้ามเนื้อน้อยเกินไปร่างกายจะฟื้นตัวได้ช้าและมีความเสี่ยงที่จะป่วยบ่อยขึ้น

วิธีสร้างและรักษากล้ามเนื้อสำหรับผู้ชายมีอะไรบ้าง?

ไม่ใช่ว่าการสร้างกล้ามเนื้อจะทำได้แค่เฉพาะตอนเด็กเท่านั้น  ไม่ว่าตอนนี้คุณจะอายุเท่าไหร่การสร้างและรักษากล้ามเนื้อก็ยังคงเป็นไปได้หากคุณทำอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ จะมีวิธีอะไรบ้าง? ไปดูกัน!

 

1. การออกกำลังกายแบบต้านแรง (Weight Training)

การออกกำลังกายแบบต้านแรง หรือ Weight Training ถือเป็นหัวใจของการเพิ่มกล้ามเนื้อให้กับร่างกาย

  • โดยควรเริ่มจากเลือกท่าง่าย ๆ ที่เหมาะสมกับอายุของตัวเอง เช่น Squat, Push-up, Plank เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อหลาย ๆ มัดพร้อมกัน
  • สามารถใช้อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เช่น ดัมเบลหรือยางยืด ในการช่วยออกกำลังกายได้ ถ้าหากว่าไม่สะดวกไปฟิตเนส
  • ควรเริ่มจากน้ำหนักเบา ๆ ก่อน เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ แล้วค่อย ๆ เพิ่มระดับความหนักเพื่อกระตุ้นให้กล้ามเนื้อปรับตัวและมีความแข็งแรงมากขึ้น
  • ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 2–3 ครั้งต่อสัปดาห์ และควรให้กล้ามเนื้อแต่ละมัดได้มีเวลาพัก 1–2 วัน

2. การคาร์ดิโอ (Cardio)

แม้ว่าการคาร์ดิโอจะไม่ได้ช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อโดยตรง แต่การคาร์ดิโอ (Cardio) จะช่วยสนับสนุนสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรง

  • ควรเลือกกิจกรรมที่ไม่กระทบกับข้อมาก เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำหรือปั่นจักรยาน
  • คาร์ดิโอประมาณ 30 นาที 3–4 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อช่วยให้หัวใจ ปอดและการไหลเวียนเลือดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • การคาร์ดิโอที่พอดีจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันโดยไม่ทำลายกล้ามเนื้อที่มีอยู่

3. กินอาหารที่มีประโยชน์เพื่อช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

หลายคนอาจจะคิดว่าการเสริมสร้างกล้ามเนื้อควรจะเน้นไปที่การกินแต่อาหารที่เป็นโปรตีนอย่างเดียว แต่จริง ๆ แล้วร่างกายยังต้องการสารอาหารอื่น ๆ มาช่วยเสริม เพื่อให้การสร้างและฟื้นฟูกล้ามเนื้อมีประสิทธิภาพที่สุด ดังนี้

  • เริ่มจากโปรตีน ควรได้รับประมาณ 1.2–1.6 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวันจากแหล่งที่ดี เช่น ปลา ไก่ ไข่ ถั่วและนม
  • คาร์โบไฮเดรต ควรเลือกเป็นคาร์บเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง มันหวานหรือควินัว ช่วยเพิ่มพลังงานในการออกกำลังกายและทำให้ร่างกายไม่ดึงโปรตีนไปใช้เป็นพลังงานแทน
  • ไขมันดี จากปลาแซลมอน อะโวคาโดหรือน้ำมันมะกอก เพื่อช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมนและช่วยในการทำงานของระบบประสาท
  • วิตามินและแร่ธาตุ จากผัก ผลไม้และธัญพืชไม่ขัดสี ช่วยเรื่องลดการอักเสบ ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ และช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • แคลเซียมและวิตามิน D เสริมความแข็งแรงให้กับกระดูกและช่วยเรื่องการหด-คลายตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วมากขึ้น

4. การพักผ่อนและการจัดการความเครียด

กล้ามเนื้อไม่ได้เติบโตตอนที่ออกกำลังกาย แต่กล้ามเนื้อจะซ่อมแซมตัวเองและแข็งแรงขึ้นตอนที่เรากำลังนอนหลับ

  • การนอนหลับให้เพียงพอ 7–8 ชั่วโมงต่อคืน มีผลต่อการซ่อมแซมและการสร้างโปรตีนในกล้ามเนื้อ
  • ความเครียดจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) สูง ทำให้เราหลับยาก หลับไม่สนิท หรือตื่นกลางดึก เป็นสาเหตุที่ทำให้เราพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งจะมาขัดขวางการสร้างกล้ามเนื้อและระดับฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ลดลง

5. การตรวจสุขภาพหรือพบแพทย์

หากคุณเริ่มกังวลว่าควรดูแลกล้ามเนื้ออย่างไรให้ถูกวิธี หรือสงสัยว่าตอนนี้กล้ามเนื้อของคุณเหมาะสมกับช่วงอายุหรือไม่ การตรวจสุขภาพกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้ได้คำตอบที่ชัดเจน โดยปกติจะมีการตรวจ ดังนี้

  • ตรวจระดับฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) เพราะฮอร์โมนนี้มีผลโดยตรงต่อการรักษามวลกล้ามเนื้อและพลังงานของร่างกาย
  • ตรวจองค์ประกอบของร่างกาย เพื่อประเมินสัดส่วนระหว่างกล้ามเนื้อ ไขมัน และน้ำในร่างกายว่ามีความสมดุลกันหรือไม่

ข้อมูลที่ได้จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการออกกำลังกายและปรับการกินอาหารได้ตรงจุดของแต่ละคนมากขึ้น

กล้ามเนื้อคือสิ่งที่ผู้ชายทุกคนไม่ควรมองข้าม การดูแลกล้ามเนื้ออย่างเหมาะสมจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยให้มีพลังงานที่ดีในการใช้ชีวิตประจำวัน ช่วยให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น รวมถึงคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับผู้ชายที่เข้าสู่วัยกลางคนหรือสูงอายุ ไม่สายเกินไปที่คุณจะเสริมกล้ามเนื้อตั้งแต่วันนี้ รับรองว่าการลงทุนกับดูแลร่างกายในเรื่องนี้ ในอนาคตจะไม่ทำให้คุณขาดทุนอย่างแน่นอน

รีวิวคุณฮอน – M Shot Testosterone ที่ M Clinic

รีวิวคุณฮอน  – M Shot Testosterone ที่ M Clinic

สวัสดีครับ ผมฮอน อายุ 28 ปีครับ ตอนนี้ทำงานเป็นนายแบบ และก็มีขึ้นประกวดอยู่เรื่อย ๆ ด้วยครับ แน่นอนว่างานแบบนี้ มันไม่ได้ใช้แค่หน้าตาอย่างเดียว แต่รูปร่างก็สำคัญมากเหมือนกันครับ เลยคิดว่าต้องหาตัวช่วยในการดูแลตัวเองทั้งสุขภาพ พละกำลัง และรูปร่างที่ดีขึ้น 

 

ทำไมถึงเลือก M Shot Testosterone ?

จริง ๆ ผมออกกำลังกายสม่ำเสมอมาก แต่ปัญหาคือ ผมเป็นคนผอมและตัวสูง การสร้างกล้ามก็ขึ้นช้า เหนื่อยง่าย และบางครั้งรู้สึกว่าร่างกายฟื้นตัวยากกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งพอเจองานประกวดที่ต้องติดกันหลายวันการพักผ่อนที่น้อย มันยิ่งชัดเลยครับว่าพลังตกลงไปเรื่อย ๆ

ผมเลยเริ่มหาตัวช่วยที่ “ปลอดภัย” ไม่ใช่แค่ทำให้กล้ามขึ้น แต่ต้องเป็นการดูแลสุขภาพไปพร้อมกันด้วย จนได้รู้จักกับ M Shot Testosterone ที่ M Clinic

สิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจได้ง่ายคือ ก่อนเริ่มโปรแกรม คุณหมอมีการตรวจเลือดละเอียดมาก ทั้งระดับฮอร์โมน Testosterone ค่าเลือด ค่าตับ ค่าไต รวมถึงค่าที่เกี่ยวข้อง เพื่อเช็คว่าร่างกายเราพร้อมและเหมาะกับโดสแบบไหน แล้วคุณหมอก็จะวางแผนการรักษาเฉพาะตัว ไม่ใช่ว่าใครมาก็ฉีดเหมือนกันหมด ตรงนี้คือสิ่งที่ทำให้ผมมั่นใจที่สุดครับ

 

โปรแกรมที่ผมทำ

คุณหมอแนะนำโปรแกรม 5 เข็มแรก (สัปดาห์ละครั้ง) และอธิบายว่าผลลัพธ์จะเริ่มเห็นตั้งแต่เข็มที่ 2–3 ผมก็เลยตัดสินใจลองดู และตั้งใจว่าถ้าร่างกายตอบสนองดี จะทำต่อให้ครบ 10 เข็ม

 

ผลลัพธ์หลังทำ M Shot Testosterone ครบ 5 เข็ม

ผ่านไปครบ 5 เข็มแล้ว บอกเลยว่ารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ ครับ

  • พลังงานเพิ่มขึ้น : จากที่เคยตื่นมาแล้วง่วง ๆ เพลีย ๆ ตอนนี้รู้สึกสดชื่นขึ้น หลับลึกกว่าเดิม ตื่นมาแล้วพร้อมลุยงานได้เลย
  • ออกกำลังกายดีขึ้น : เล่นเวทหนัก ๆ เมื่อก่อนวันถัดมาจะเพลีย แต่ตอนนี้ฟื้นตัวไวมาก กล้ามเนื้อกระชับขึ้น มองเห็นผลไวขึ้นด้วย
  • มั่นใจในรูปร่างและงานมากขึ้น : เวลาเดินประกวดหรือถ่ายแบบ ผมรู้สึกมั่นใจขึ้นเยอะ เพราะร่างกายมันตอบสนองได้จริง ๆ ไม่เหนื่อยง่ายเหมือนเมื่อก่อน
#Testosterone #เพิ่มมวลกล้าม #เพิ่มกล้าม #กล้าม #muscle

ความรู้สึกส่วนตัว

สำหรับผม M Shot Testosterone ไม่ได้เป็นแค่การ “ฉีดฮอร์โมน” แต่คือการดูแลสุขภาพจากข้างในอย่างจริงจัง ที่ชอบคือ ทุกขั้นตอนมีคุณหมอดูแล ตรวจเลือด และวางแผนชัดเจน ทำให้ผมสบายใจว่าปลอดภัย ไม่ใช่แค่ได้หุ่น แต่สุขภาพก็แข็งแรงขึ้นด้วย

“ผมว่ามันเหมาะกับผู้ชายที่รู้สึกว่าร่างกายไม่ฟิตเหมือนเดิม ออกกำลังกายแล้วกล้ามไม่ขึ้น ฟื้นตัวยาก หรือคนที่ทำงานใช้พลังเยอะ ๆ แบบผมครับ โดยเฉพาะคนอายุ 30+ ยิ่งจะเห็นความต่างชัดเจน”

#Testosterone #เพิ่มมวลกล้าม #เพิ่มกล้าม #กล้าม #muscle
#Testosterone #เพิ่มมวลกล้าม #เพิ่มกล้าม #กล้าม #muscle
#Testosterone #เพิ่มมวลกล้าม #เพิ่มกล้าม #กล้าม #muscle

สรุป

ตอนนี้ผมทำครบ 5 เข็มแล้ว แต่บอกเลยว่าผลลัพธ์ยังไปต่อได้อีก ผมตั้งใจจะทำครบ 10 เข็ม และอยากให้ทุกคนได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าใครกำลังเจอปัญหาแบบผม ลองมาปรึกษาที่ M Clinic ดูนะครับ อาจเป็นตัวช่วยที่ทำให้คุณกลับมาฟิตและมั่นใจได้อีกครั้งเหมือนผมครับ 

( ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล )




5 ฮอร์โมนสำคัญที่สัมพันธ์กับการนอนของผู้ชายมีอะไรบ้าง?

5 ฮอร์โมนสำคัญที่สัมพันธ์กับการนอนของผู้ชายมีอะไรบ้าง?

การนอนหลับทุกคนคงรู้กันอยู่แล้วว่าเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญของสุขภาพของผู้ชาย แต่ก็อาจจะมีหลาย ๆ คนที่ยังไม่รู้ว่า ฮอร์โมนในร่างกายมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อคุณภาพการนอน และในทางกลับกันการนอนก็จะส่งผลต่อความสมดุลของฮอร์โมนในร่างกายเช่นกัน

 

ซึ่งในบทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างฮอร์โมนกับการนอนหลับให้ดียิ่งขึ้น จะมีฮอร์โมนอะไรบ้าง? ที่ส่งผลกับการนอนของคุณ เริ่มกันที่

1. ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone)

ฮอร์โมน Testosterone มีความสำคัญกับเพศชายที่ไม่ได้มีผลแค่เฉพาะเรื่องสมรรถภาพทางเพศเท่านั้น แต่ยังส่งผลไปถึงสุขภาพร่างกาย จิตใจ พลังงานในชีวิตประจำวันอีกด้วย แล้วฮอร์โมน Testosterone เกี่ยวข้องอะไรกับการนอนอย่างไร?

 

การหลั่งของฮอร์โมน Testosterone

จะหลั่งออกมามากที่สุดในช่วงเช้ามืดและหลังจากที่ได้นอนหลับสนิทอย่างน้อย 6–8 ชั่วโมง และจะค่อย ๆ ลดลงในช่วงกลางวันไปจนถึงเย็น ๆ หากชอบตื่นกลางดึกหรือนอนหลับไม่สนิท ร่างกายจะไม่สามารถผลิตฮอร์โมนได้อย่างเต็มที่

 

ผลกระทบเมื่อฮอร์โมน Testosterone ต่ำ

จะทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีแรง สมาธิและความจำลดลง ทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ ความต้องการทางเพศลดลงและอาจนำไปสู่ภาวะเสื่อมสมรรถภาพ (ED) รวมถึงการสร้างกล้ามเนื้อและการฟื้นฟูร่างกายหลังออกกำลังกายจะมีประสิทธิภาพที่แย่ลง

 

จากผลวิจัยพบว่า ผู้ชายที่นอนเพียง 5 ชั่วโมงต่อคืน ยาวติดต่อกัน 1 สัปดาห์ มีระดับฮอร์โมน Testosterone ลดลงถึง 10–15% เมื่อเทียบกับช่วงที่นอน 8 ชั่วโมง ซึ่งผลลัพธ์หมายความว่าคน ๆ นั้นมีความแก่ขึ้นหลายปีในเวลาอันสั้น หากผู้ชายต้องการให้ความฟิต สมรรถภาพ และพลังงานในการใช้ชีวิตสมดุลกับอายุ การนอนที่มีคุณภาพถือเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาสมดุลของฮอร์โมน ไม่แพ้การออกกำลังกายหรือการกินอาหารดี ๆ เลย

 

2. ฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth Hormone)

Growth Hormone เป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) มีความสำคัญตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ ไม่ได้แค่ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต แต่ยังมีหน้าที่ในการสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อหลังจากออกกำลังกาย ช่วยเผาผลาญไขมัน รักษาสมดุลของน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อซ่อมแซมผิวให้ดีขึ้น  ไปจนถึงความแข็งแรงของกระดูกและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

 

การหลั่งของ Growth Hormone

จะหลั่งมากที่สุดในช่วงที่มีการนอนหลับลึก โดยเฉพาะใน 90 นาทีแรกหลังจากที่หลับ หากคุณภาพการนอนของคุณไม่ดีชอบหลับ ๆ ตื่น ๆ กลางดึกหรือเข้านอนดึกเกินไป ร่างกายจะเสียโอกาสในการหลั่งฮอร์โมนชนิดนี้ไป

ผลกระทบเมื่อขาด Growth Hormone

เมื่อร่างกายไม่ได้รับ Growth Hormone จากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ กล้ามเนื้อจะฟื้นตัวช้าลง รู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนแรงแม้จะไม่ค่อยได้ออกแรง เสี่ยงต่อการสะสมไขมันที่หน้าท้อง ภูมิคุ้มกันแย่ลงจนทำให้ป่วยง่ายและยังทำให้เสื่อมสมรรถภาพเร็วกว่าปกติ จนรู้สึกแก่ก่อนวัย

 

Growth Hormone เหมือนทีมที่ช่วยซ่อมแซมบำรุงร่างกายของเราตอนที่เราหลับ ดังนั้นการนอนหลับให้เพียงพอและมีคุณภาพ จึงมีความสำคัญมากสำหรับผู้ชายที่ต้องการฟื้นฟูร่างกาย รักษาความแข็งแรง และอยากดูอ่อนเยาว์ให้นานที่สุด

3. ฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin)

ฮอร์โมน Melatonin เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมไพเนียล (Pineal gland) ในสมอง ทำหน้าที่เหมือนเป็น นาฬิกาของชีวิต ที่จะคอยบอกเราว่าเมื่อไหร่ควรนอน เมื่อไหร่ควรตื่น โดยปกติร่างกายจะเริ่มหลั่งฮอร์โมนนี้ในช่วงเย็นเมื่อแสงสว่างลดลงและจะหลั่งมากที่สุดในเวลากลางคืน เพื่อเป็นการส่งสัญญาณบอกให้ร่างกายรู้ว่า “ถึงเวลานอนแล้ว”

 

การหลั่งของฮอร์โมน Melatonin

การที่ฮอร์โมน Melatonin หลั่งอย่างสมดุล จะช่วยให้ผู้ชายนอนหลับลึกได้ง่ายขึ้น ร่างกายจะสามารถซ่อมแซม ฟื้นฟู และหลั่ง Growth Hormone รวมถึง Testosterone ได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าหากว่าก่อนนอนได้รับแสงสีฟ้าจากมือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มันจะไปยับยั้งการหลั่งฮอร์โมน Melatonin ทำให้สมองยังคงตื่นตัวเพราะคิดว่าเป็นกลางวัน และจะทำให้หลับยากขึ้น

 

ผลกระทบเมื่อฮอร์โมน Melatonin ผิดปกติ

 

ผู้ชายที่ทำงานกะกลางคืนหรือหลับไม่เป็นเวลา มักมีระดับ Melatonin ที่ผิดปกติ ทำให้การนอนและการตื่นไม่สมดุลกัน และส่งผลให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ง่วงนอนตอนกลางวัน อาจนำไปสู่โรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ เบาหวานและภาวะซึมเศร้าได้

 

4. ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol)

ฮอร์โมน Cortisol เป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมหมวกไต มีหน้าที่ช่วยให้ร่างกายรับมือกับความเครียดได้ รวมถึงการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือฮอร์โมน Cortisol จะมีจังหวะการหลั่งที่สัมพันธ์โดยตรงกับการนอนดังนี้

 

การหลั่งของฮอร์โมน Cortisol

โดยปกติฮอร์โมน Cortisol จะหลั่งมากที่สุดในช่วงเช้ามืด เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการตื่นตัวและมีพลังพร้อมที่จะเริ่มต้นวันใหม่ หลังจากนั้นฮอร์โมนจะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ ตลอดทั้งวัน และอยู่ในระดับต่ำสุดในช่วงเวลากลางคืน เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

ผลกระทบเมื่อฮอร์โมน Cortisol ผิดปกติ

 

ผู้ชายที่มีความเครียดเรื้อรัง ทำงานดึก หรือเจอกับแรงกดดันต่อเนื่อง ระดับฮอร์โมน Cortisol อาจสูงผิดเวลา ทำให้ร่างกายตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้นอนหลับยาก หลับไม่สนิท ตื่นกลางดึกบ่อยและตื่นเช้ามาแล้วไม่สดชื่น เหมือนพักผ่อนไม่เต็มที่ เมื่อสะสมไปนาน ๆ อาจนำไปสู่ภาวะอ่อนล้าเรื้อรัง นอกจากนี้เมื่อระดับฮอร์โมน Cortisol สูงอย่างต่อเนื่องยังทำให้เกิดการสะสมไขมันหน้าท้อง น้ำหนักขึ้น ความดันโลหิตสูง เสี่ยงโรคหัวใจ ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอทำให้ป่วยง่าย ระดับฮอร์โมน Testosterone ลดลง เพราะร่างกายต้องใช้ทรัพยากรไปสร้างฮอร์โมน Cortisol แทน

#สุขภาพผู้ชาย #วัยทอง #ED #ฮอร์โมน #อาหารเสริม #สุขภาพ #Men #สูงวัย

5. ฮอร์โมนอินซูลินและเลปติน (Insulin & Leptin)

ฮอร์โมน Insulin และ Leptin มีหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความอยากอาหาร ซึ่งมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบเผาผลาญของร่างกาย เป็นอีกหนึ่งฮอร์โมนที่มีความสำคัญต่อร่างกายและมีความสัมพันธ์กับการนอนเช่นเดียวกัน

 

ฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin)

เป็นฮอร์โมนที่ช่วยนำน้ำตาลกลูโคสจากเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน แต่ถ้าหากนอนหลับไม่เพียงพอ ร่างกายอาจจะเกิดภาวะดื้ออินซูลิน ทำให้มีน้ำตาลตกค้างในเลือดมากเกินไปจนเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน และทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย หิวง่าย รวมถึงการรบกวนการหลั่งฮอร์โมน Testosterone และ Growth Hormone อีกด้วย

ฮอร์โมนเลปติน (Leptin)

ฮอร์โมน Leptin เป็นฮอร์โมนที่ส่งสัญญาณไปยังสมองว่าอิ่มแล้ว ถ้าหากนอนไม่พอระดับฮอร์โมน Leptin จะลดลง ในขณะเดียวกันฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ที่กระตุ้นทำให้รู้สึกหิวและอยากอาหารจะสูงขึ้น ทำให้หิวและอยากกินอาหารโดยเฉพาะอาหารประเภทแป้งและมีไขมันสูง จนเสี่ยงทำให้น้ำหนักเกินและเกิดไขมันสะสมได้ง่าย

ผลกระทบเมื่อฮอร์โมน Insulin และ Leptin ผิดปกติ

จะทำให้น้ำหนักเพิ่มง่ายขึ้น โดยเฉพาะไขมันหน้าท้อง มีภาวะอ้วน เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกลุ่มเมตาบอลิก (เช่น เบาหวาน ความดันสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ) รวมทั้งกระทบไปถึงสมรรถภาพทางร่างกายและพลังงาน เพราะร่างกายขาดความสมดุลในการจัดการพลังงานได้ไม่ดี ส่งผลให้รู้สึกอ่อนล้า ฟื้นตัวช้า แก่ก่อนวัย และปัญหาสุขภาพเรื้อรังต่าง ๆ ที่จะตามมา

 

การนอนที่มีคุณภาพควรทำอย่างไร? เพื่อให้ฮอร์โมนมีความสมดุล

  1. นอนและตื่นให้เป็นเวลา
    การนอนและตื่นให้ตรงเวลาทุกวัน ช่วยปรับสมดุลนาฬิกาชีวิต ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนและการตื่นได้อย่างเหมาะสม ทำให้หลับสนิทและฟื้นฟูร่างกายได้ดีขึ้น

  2. หลีกเลี่ยงการใช้มือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
    แสงสีฟ้าจากหน้าจอจะไปลดการหลั่งของฮอร์โมน Melatonin ร่างกายจะเข้าใจว่ายังเป็นเวลากลางวัน ทำให้หลับยาก ควรเปลี่ยนไปเป็นการอ่านหนังสือ ฟังเพลงเบา ๆ หรือทำสมาธิแทน

  3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรออกใกล้เวลานอน
    การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการหลั่ง Growth Hormone และ Testosterone ซึ่งสำคัญต่อการซ่อมแซมร่างกายและสร้างกล้ามเนื้อ แต่ถ้าออกกำลังกายก่อนนอนหนักเกินไปจะเป็นการกระตุ้นหัวใจและฮอร์โมน Cortisol ทำให้นอนหลับยาก

  4. รับแสงแดดตอนเช้า เพื่อปรับนาฬิกาชีวิต
    แสงแดดจะช่วยรีเซ็ตนาฬิกาชีวิต ลดการหลังฮอร์โมน Melatonin และเพิ่มการหลั่งฮอร์โมน Costisol ทำให้ร่างกายตื่นตัวในตอนกลางวันและนอนหลับได้ลึกขึ้นตอนกลางคืน

  5. จัดห้องนอนน่านอน
    สิ่งแวดล้อมมีผลมากต่อคุณภาพในการหลับ ควรให้มีอุณหภูมิที่พอดีประมาณ 24–26 °C เงียบและมืดสนิท เพื่อให้ร่างกายพักผ่อนได้เต็มที่ ถ้ามีเสียงดังอาจใช้ที่อุดหู หรือถ้าหากมีแสงรบกวน ควรใช้ผ้าม่านที่กันแสงได้

  6. ควบคุมอาหารและเครื่องดื่มก่อนนอน
    หลีกเลี่ยงคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และอาหารมื้อหนักใกล้เวลานอน เพราะจะไปรบกวนระบบย่อยอาหารและทำให้หลับไม่สนิท

การนอนหลับที่มีคุณภาพไม่ใช่แค่การนอนที่นับจำนวนชั่วโมง แต่คือการพักผ่อนที่ช่วยให้การทำงานของฮอร์โมนทำงานได้อย่างสมดุลตามที่ควรจะเป็น ซึ่งเป็นการช่วยให้ร่างกายสามารถฟื้นตัว เพิ่มพลังงาน สมรรถภาพทางเพศ และลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังในระยะยาว




Gynecomastia ภาวะนมแหลมในผู้ชาย

Gynecomastia ภาวะนมแหลมในผู้ชาย เกิดจากอะไรและควรทำอย่างไร?

รู้หรือไม่ว่า..อาการหน้าอกโต ไม่ได้เป็นปัญหาแค่ของผู้หญิงเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วผู้ชายก็สามารถมีหน้าอกที่โตผิดปกติได้เช่นกัน ซึ่งภาวะนี้เรียกว่า Gynecomastia

 

Gynecomastia คืออะไร?

Gynecomastia คือ ภาวะที่เต้านมของผู้ชายมีการขยายตัวหรือโตมากกว่าปกติหรือเรียกง่าย ๆ ว่า”นมแหลม” ซึ่งภาวะนี้ไม่ได้มาจากแค่ไขมันสะสมเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความไม่สมดุลระหว่างฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) และฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen) ในร่างกาย ซึ่งจริง ๆ แล้วสามารถพบได้ในหลากหลายช่วงวัย เช่น

  • ทารก: สำหรับทารกเกิดได้บ่อยและไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ส่วนใหญ่จะเกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนของแม่ที่ส่งผ่านมาช่วงตั้งครรภ์ แต่จะค่อย ๆ หายไปเองภายในไม่กี่สัปดาห์
  • วัยรุ่น: ช่วงอายุประมาณ 10-16 ปี เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอย่างรวดเร็วในช่วงเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) อาจยังไม่เพิ่มขึ้นทันที ในขณะที่ฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen) มีอยู่ในระดับหนึ่ง ทำให้เกิดภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลชั่วคราว ซึ่งเป็นอาการปกติและวัยรุ่นส่วนใหญ่จะหายเองได้ ภายในตั้งแต่ 6 เดือน ไปจนถึง 2 ปี แต่ถ้าหน้าอกโตเกินไป มีความเจ็บ หรือมีลักษณะผิดปกติ ควรตรวจหาสาเหตุอื่น ๆ จากแพทย์จะดีที่สุด ซึ่งอาจจะเกิดจากก้อนเนื้อหรือความผิดปกติของฮอร์โมน
  • ผู้สูงอายุ: โดยเฉพาะหลังคนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ระดับฮอร์โมนเพศชายจะค่อย ๆ ลดลง แต่ในขณะเดียวกันฮอร์โมนเพศหญิงที่ร่างกายสร้างขึ้นจะยังคงมีอยู่ ทำให้สัดส่วนของฮอร์โมนเพศหญิงมีมากกว่า และวัยนี้ยังมีโอกาสพบโรคหรือภาวะที่มีผลต่อความสมดุลของฮอร์โมนได้ง่าย เช่น โรคตับ โรคไต โรคต่อมไทรอยด์หรือเนื้องอกบางชนิด รวมถึงการใช้ยาบางประเภท (เช่น ยารักษาความดัน ยาขับปัสสาวะหรือยารักษาโรคหัวใจ) ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะ Gynecomastia ได้เช่นกัน ดังนั้นถ้าพบว่าหน้าอกที่โตขึ้นในวัยนี้ ควรตรวจหาสาเหตุจากแพทย์เพื่อให้ได้รับการดูแลที่เหมาะสม

ถึงแม้ว่า Gynecomastia จะไม่ได้เป็นโรคที่ร้ายแรง แต่โรคนี้ส่งผลต่อความมั่นใจของเจ้าตัว การใช้ชีวิตประจำวัน และบางครั้งอาจเป็นสัญญาณบอกถึงปัญหาสุขภาพที่แอบซ่อนอยู่ ซึ่งในบทความนี้จะพาคุณทำความรู้จักกับภาวะ Gynecomastia อย่างละเอียด พร้อมทั้งสาเหตุ อาการ แนวทางดูแลและป้องกัน จะมีอะไรบ้าง? ไปดูกัน!

#Gynecomastia #ภาวะนมแหลมในผู้ชาย #นมแหลม #ฮอร์โมน #อาหารเสริม #สุขภาพ #Men #Fat #โรคอ้วน

สาเหตุของการเกิด Gynecomastia

สาเหตุหลักของการเกิด Gynecomastia คือ ภาวะที่ฮอร์โมนเพศชายลดลงหรือฮอร์โมนเพศหญิงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เต้านมได้รับการกระตุ้นให้โตมากขึ้น จนทำให้นมแหลมออกมา ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะนี้ ได้แก่

 

  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนตามวัย

ผู้ชายจะสร้างฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) สูงสุดช่วงวัยรุ่น หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ผลิตลดลง โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่อายุ 50 ปีขึ้นไป สัดส่วนของฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen) ต่อฮอร์โมนเพศชายจะมากขึ้น ส่งผลให้เต้านมขยายตัวได้ง่ายขึ้น

 

  • โรคที่เกี่ยวข้องกับตับหรือไต
      • โรคตับแข็ง ทำให้ตับไม่สามารถทำลายฮอร์โมนส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีระดับฮอร์โมนเพศหญิงในเลือดสูงขึ้น
  • โรคไตวายเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องฟอกไต อาจทำให้เกิดความผิดปกติของฮอร์โมนหลายชนิดในร่างกาย รวมถึงฮอร์โมนเพศเช่นกัน ทำให้เกิดภาวะเต้านมโตได้

  • เนื้องอกบางชนิด
      • เนื้องอกต่อมหมวกไต อาจก่อให้เกิดการสร้างฮอร์โมนเพศหญิงหรือฮอร์โมนอื่น ๆ ที่ไปรบกวนความสมดุลของฮอร์โมนเพศชายได้
      • เนื้องอกต่อมใต้สมอง อาจทำให้ร่างกายเกิดการกระตุ้นเพื่อสร้างฮอร์โมนเพศหญิงที่เพิ่มขึ้นหรือไปยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเพศชาย
      • เนื้องอกอัณฑะบางชนิด ก็สามารถก่อให้เกิดการสร้างฮอร์โมนเพศหญิงได้ด้วยเช่นกัน

  • ยาบางชนิด
      • ยารักษาความดันในเลือดสูง เช่น Spironolactone อาจมีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเพศหญิง
      • ยาเคมีบำบัดบางชนิด มีผลต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อและการสร้างฮอร์โมนเพศชาย
      • ยาต้านอาการซึมเศร้า โดยเฉพาะบางกลุ่มที่รบกวนความสมดุลของฮอร์โมนเพศ
      • ยาสเตียรอยด์ หากใช้ต่อเนื่องอาจเป็นการยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเพศชายของร่างกาย

  • สารเสพติด
      • กัญชา มีสารออกฤทธิ์ที่อาจส่งผลต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อให้มีประสิทธิภาพที่แย่ลง
      • การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ทำให้ตับเสื่อม ทำงานได้แย่ลงและส่งผลให้สามารถในการควบคุมสมดุลฮอร์โมนนั้นลดลง
      • ยาเสพติดบางชนิด เช่น เฮโรอีนหรือแอมเฟตามีน อาจไปรบกวนความสมดุลของฮอร์โมนและสุขภาพโดยรวมให้ทำงานแย่ลง

  • ภาวะขาดสารอาหาร

เมื่อร่างกายขาดพลังงานและสารอาหารที่จำเป็น การสร้างฮอร์โมนเพศชายก็จะลดลง ขณะที่ฮอร์โมนเพศหญิงอาจยังมีอยู่ นอกจากนี้การลดน้ำหนักแบบหักโหมยังทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะที่มีความเครียดสูง ส่งผลต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อและการรักษาสมดุลของฮอร์โมน

 

อาการของภาวะ Gynecomastia มีอะไรบ้าง?

อาการของภาวะเต้านมโตหรือนมแหลมที่สามารถสังเกตได้ชัดเจนด้วยตนเอง มีลักษณะดังนี้

  • เต้านมมีความหนาและนุ่มขึ้น

ในช่วงแรกอาจรู้สึกว่าบริเวณหน้าอกมีความนุ่มขึ้นผิดปกติ เหมือนมีเนื้อหรือไขมันเพิ่มขึ้น เมื่อลองแตะที่หน้าอกจะรู้สึกว่าผิวบริเวณนั้นเรียบและยืดหยุ่นได้ ต่างจากก้อนเนื้องอกที่จะแข็งและไม่สามารถขยับตามแรงกดได้

  • บริเวณรอบเต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้น

ช่วงบริเวณลานนม หรือ areola อาจกว้างขึ้นและดูนูนขึ้น เนื่องจากการขยายตัวของเต้านม และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งบางคนอาจทำให้สีของลานนมเข้มขึ้นด้วย

  • อาจมีอาการเจ็บหรือกดแล้วเคือง

ความเจ็บจะไม่รุนแรงมาก แต่อาจทำให้รู้สึกรำคาญ เคืองหรือไม่สบายตัว โดยเฉพาะเวลาที่หน้าอกเสียดสีกับเสื้อผ้า ซึ่งความเจ็บจะมีเป็นช่วง ๆ และหายไปเอง หรือบางคนอาจเป็นอย่างต่อเนื่อง

  • ตึงหรือคันบริเวณเต้านม

อาการตึงเกิดจากการที่ผิวหนังรอบเต้านมถูกยืดออก และอาการคันอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังในบริเวณเต้านม เช่น ผิวแห้งหรือมีการระคายเคืองจากเสื้อผ้า

  • สัญญาณเตือนที่คุณควรตรวจเพิ่ม

หากคลำบริเวณเต้านมแล้วพบก้อนแข็งผิดปกติ รู้สึกเจ็บหรือมีของเหลวไหลออกมาจากเต้านม เช่น น้ำใส เลือด หรือของเหลวขุ่น ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุให้ชัดเจน เนื่องจากอาการเหล่านี้อาจบอกถึงปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แค่ Gynecomastia แต่อาจกลายเป็น เนื้องอกเต้านมหรือการติดเชื้อได้

 

การดูแลและรักษาเมื่อเกิดภาวะ Gynecomastia ควรทำอย่างไร?

การดูแลและรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ ระยะเวลาที่เกิดอาการ และความรุนแรงของการโตของเต้านม โดยจะมีแนวทางดังนี้

  1. รอดูอาการ

สำหรับวัยรุ่นหรือผู้ที่เพิ่งเกิดอาการไม่นาน ภาวะนี้อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนตามธรรมชาติ ส่งผลให้เต้านมโตขึ้นแค่ชั่วคราว ซึ่งโดยปกติจะค่อย ๆ ยุบลงเองภายใน 6 เดือนถึง2 ปี โดยไม่ต้องรักษาใด ๆ แต่ระหว่างรอดูอาการ ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงของขนาดเต้านมอย่างต่อเนื่อง และหากพบว่าเต้านมโตขึ้นเรื่อย ๆ หรือมีอาการเจ็บมากขึ้น ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์เพื่อหาสาเหตุเพิ่มเติม

  1. หยุดหรือปรับยาที่เป็นต้นเหตุ

หากตรวจพบว่าภาวะ Gynecomastia ซึ่งเกิดจากผลข้างเคียงของยา เช่น ยารักษาความดันเลือดสูงบางชนิด ยาต้านโรคซึมเศร้าหรือยาสเตียรอยด์ แพทย์อาจจะต้องปรับขนาดยาหรือเปลี่ยนไปใช้ยาอื่น ๆ ที่มีผลต่อฮอร์โมนน้อยลง ซึ่งการหยุดหรือเปลี่ยนยาควรทำภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น เพื่อไม่ให้กระทบกับโรคที่กำลังรักษาอยู่

  1. รักษาโรคต้นเหตุ

ภาวะนี้อาจเกิดจากปัญหาสุขภาพอื่นที่ส่งผลต่อความสมดุลของฮอร์โมน เช่น โรคตับ โรคไต ภาวะต่อมไร้ท่อผิดปกติหรือเนื้องอกบางชนิด การรักษาที่โรคต้นเหตุจะช่วยให้ภาวะ Gynecomastia ดีขึ้น

  1. การใช้ยาเฉพาะทาง

สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรงหรือฮอร์โมนมีความไม่สมดุลอย่างชัดเจน อาจมีการใช้ยาที่ช่วยปรับระดับฮอร์โมนให้สมดุล เช่น ยาต้านฮอร์โมนเอสโตรเจนหรือยาที่ช่วยกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเพศชาย แต่การใช้ยาเหล่านี้จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจมีผลข้างเคียงได้

  1. การผ่าตัด

ในกรณีที่เต้านมมีขนาดใหญ่และใช้วิธีการดูแลรักษาอื่น ๆ แล้วยังไม่หาย การผ่าตัดอาจเป็นทางเลือกที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ โดยเป้าหมาย คือ การเอาเต้านมส่วนเกินออกและปรับแต่งรูปร่างหน้าอกให้กลับมาใกล้เคียงกับปกติ ซึ่งวิธีการผ่าตัดเพื่อแก้ภาวะ Gynecomastia มีหลายรูปแบบ เช่น การดูดไขมันร่วมกับการตัดเนื้อเยื่อบริเวณเต้านมออกหรือการตัดเนื้อเยื่อออกโดยตรง ซึ่งการตัดสินใจเลือกวิธีผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย และความต้องการของเจ้าตัว

#Gynecomastia #ภาวะนมแหลมในผู้ชาย #นมแหลม #ฮอร์โมน #อาหารเสริม #สุขภาพ #Men #Fat #โรคอ้วน

การใช้ชีวิตประจำวันเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิด Gynecomastia

ต้องบอกว่าภาวะ Gynecomastia ไม่สามารถป้องกันได้ 100% เพราะบางครั้งอาจเกิดจากปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหรือโรคบางชนิด แต่ถ้าหากเราดูแลสุขภาพให้ดีอยู่เสมอจะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงและชะลอการเกิดภาวะนี้ได้ในระดับหนึ่ง มีอะไรบ้าง?

  • รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ หากว่าคุณมีน้ำหนักที่มากเกินไปหรือเป็นโรคอ้วน จะทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

  • รับประทานอาหารให้สมดุลและหลีกเลี่ยงการลดน้ำหนักแบบหักโหม ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ โปรตีนที่มีคุณภาพดีและไขมันที่ดีต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง น้ำตาลสูงและอาหารแปรรูป แต่ในทางกลับกันการลดน้ำหนักอย่างหักโหมเกินไปก็อาจทำให้ร่างกายเกิดความเครียด ส่งผลให้ความสมดุลของฮอร์โมนแย่ลง เพราะฉะนั้นจึงควรค่อย ๆ ลดน้ำหนักลงให้ถึงเกณฑ์

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายโดยเฉพาะประเภทเวทเทรนนิ่งจะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเพศชาย ขณะที่การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอจะช่วยควบคุมน้ำหนักและสุขภาพหัวใจ เราจึงควรออกกำลังทั้งสองรูปแบบ เพื่อให้เกิดความสมดุลของร่างกายและจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

  • ลดการดื่มแอลกอฮอล์และงดการใช้สารเสพติด แอลกอฮอล์เมื่อดื่มมากเกินไป จะส่งผลเสียต่อการทำงานของตับ และทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล ส่วนสารเสพติด เช่น กัญชาหรือยาบางชนิด อาจมีผลโดยตรงต่อการสร้างฮอร์โมนให้แย่ลงและรูปร่างของเต้านม

  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือฮอร์โมนที่ไม่จำเป็น การใช้ฮอร์โมนเพศชายหรือเพศหญิงโดยไม่ได้รับการแนะนำจากแพทย์ รวมถึงการใช้ยาบางชนิดเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะ Gynecomastia ได้ หากจำเป็นต้องใช้ยารักษาโรคที่มีผลต่อฮอร์โมน ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น

Gynecomastia เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้ชายหลากหลายช่วงวัย แม้ว่าจะสามารถจะหายได้เอง แต่บางครั้งก็อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคบางชนิด เพราะฉะนั้นเราควรต้องคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกายอยู่เสมอ หรือถ้าหากรู้สึกว่ามีอาการและมันไม่หายสักที ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์เพื่อให้รู้ถึงสาเหตุให้แน่ชัด

โรคอ้วนภัยเงียบที่ไม่ได้ทำลายแค่สุขภาพ แต่ทำให้ความเป็นชายของคุณน้อยลงด้วย

โรคอ้วนภัยเงียบที่ไม่ได้ทำลายแค่สุขภาพ แต่ทำให้ความเป็นชายของคุณน้อยลงด้วย

ผู้ชายหลายคนอาจเข้าใจว่า “โรคอ้วน” ส่งผลถึงแค่เรื่องน้ำหนักตัว รูปร่าง ความดัน ไขมัน หรือเบาหวานเท่านั้น แต่รู้หรือไม่ว่า? ไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายมากเกินไป อาจกำลังค่อย ๆ ทำให้ความเป็นชายของคุณลดลงโดยไม่รู้ตัว เพราะโรคอ้วนคือหนึ่งในสาเหตุสำคัญของ ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction หรือ ED) ที่ผู้ชายไทยหลาย ๆ คนกำลังเจอโดยไม่ทันสังเกต

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปเจาะลึกว่าโรคอ้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องสมรรถภาพทางเพศอย่างไร? และอะไรคือสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม วิธีการดูแลสุขภาพตัวเองและวิธีการรับมือ เพื่อป้องกันทั้งโรคอ้วนและ ED ของตัวคุณเอง

 

โรคอ้วนเกี่ยวข้องกับภาวะ ED อย่างไรบ้าง?

1. ทำให้การไหลเวียนของเลือดแย่ลง

หนึ่งในปัจจัยสำคัญของการแข็งตัวของอวัยวะเพศ คือ การไหลเวียนของเลือด ซึ่งโรคอ้วนจะทำให้ระบบไหลเวียนเลือดมีปัญหา เพราะจะมาพร้อมกับภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันเลือดสูง และเบาหวาน ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้หลอดเลือดเสื่อมหรือตีบลงเรื่อย ๆ เมื่อหลอดเลือดไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศได้ดีพอ อวัยวะเพศก็จะไม่สามารถแข็งตัวได้เต็มที่ ซึ่งเป็นลักษณะของภาวะ ED

 

2. ไขมันทำให้ฮอร์โมนเพศชายลดลง

ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone) คือ ฮอร์โมนเพศชายหลักที่มีส่งผลในเรื่องของความต้องการทางเพศ และการแข็งตัวของอวัยวะเพศ แต่เมื่อผู้ชายมีไขมันสะสมมากเกินไป โดยเฉพาะที่บริเวณหน้าท้อง ไขมันเหล่านั้นจะรบกวนความสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย โดยจะเปลี่ยนฮอร์โมนเพศชายบางส่วนให้กลายเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ซึ่ง คือ ฮอร์โมนเพศหญิง ทำให้ผลที่ตามมา คือ ระดับเทสโทสเทอโรนลดลง ความต้องการทางเพศก็ลดลง และส่งผลให้การแข็งตัวไม่ดีเหมือนเดิม

 

3. เสี่ยงต่อโรคเบาหวานและดื้อต่ออินซูลิน

โรคอ้วนส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน คือ ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งเป็นต้นตอสำคัญของโรคเบาหวานโดยผู้ชายที่เป็นเบาหวานมีความเสี่ยงเกิดภาวะ ED มากกว่าคนทั่วไปถึง 2–3 เท่า เนื่องจากน้ำตาลในเลือดสูงจะทำลายเส้นเลือดและเส้นประสาทที่ควบคุมการแข็งตัว

 

4.อาจเกิดภาวะอักเสบเรื้อรังในร่างกาย

คนที่มีไขมันในร่างกายสูงมักเกิดการอักเสบเรื้อรังภายในร่างกาย ซึ่งจะรบกวนการทำงานของหลอดเลือด โดยเฉพาะการปล่อยสารไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้หลอดเลือดขยายตัว และนำเลือดไปเลี้ยงอวัยวะได้เต็มที่ จึงทำให้การแข็งตัวลดลง

 

5.การสร้างกล้ามเนื้อยากขึ้น ระบบการเผาผลาญแย่ลง

หากคุณมีไขมันในร่างกายที่มากเกินไปส่งผลให้การสร้างกล้ามเนื้อยากขึ้น ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ไม่เต็มที่ เมื่อมีกล้ามเนื้อน้อยร่างกายก็จะมีพลังงานได้น้อยลง น้ำหนักก็จะลดได้ยาก และกระบวนการผลิตฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ก็จะลดลงตามไปด้วย ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้สมรรถภาพทางเพศเสื่อมลงแบบไม่รู้ตัว

 

6.ส่งผลต่อความเครียดและความมั่นใจ

โรคอ้วนไม่ได้ส่งผลแค่กับร่างกาย แต่ยังส่งผลต่อจิตใจของผู้ชายด้วย เช่น ผู้ชายที่อ้วนอาจรู้สึกไม่มั่นใจในรูปร่างของตัวเอง รู้สึกอายหรือกังวลเมื่อต้องเจอหน้ากับคู่รัก ซึ่งความไม่มั่นใจนี้ส่งผลโดยตรงต่อความต้องการทางเพศและการแข็งตัว นอกจากนี้ภาวะ ED เองก็อาจยิ่งทำให้ผู้ชายเกิดความเครียด วิตกกังวล หรือซึมเศร้า กลายเป็นวงจรที่ทำให้อาการโดยรวมแย่ลงเรื่อย ๆ หากไม่รีบหาทางที่จัดการอย่างถูกวิธี

 

พฤติกรรมที่ก่อให้ผู้ชายเกิดโรคอ้วน มีอะไรบ้าง?

ผลสำรวจจากกรมอนามัย พบว่าผู้ชายไทยมากกว่า 40% มีภาวะโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกินเกณฑ์ โดยเฉพาะในช่วงวัยทำงานที่มีอายุ 30–50 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ควรมีสมรรถภาพทางเพศดีที่สุด แต่กลับมีรายงานว่าผู้ชายวัยนี้จำนวนไม่น้อยเริ่มประสบภาวะ ED โดยไม่ทราบสาเหตุ และมักไม่กล้าพูดถึง

โดยปัญหานี้อาจเกิดจากพฤติกรรมประจำวันเหล่านี้ เช่น

  • ทานอาหารที่มีไขมันสูงบ่อย เช่น ของทอด ฟาสต์ฟู้ด อาหารแปรรูป ที่อุดมด้วยไขมันทรานส์ และโซเดียม ส่งผลให้ระดับไขมันในเลือดสูง เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ และทำให้หลอดเลือดอุดตัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของ ED
  • ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ โดยที่แอลกอฮอล์ส่งผลต่อโดยตรงต่อการทำงานของตับ และลดการผลิตฮอร์โมนเพศชาย นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการควบคุมน้ำหนักและคุณภาพการนอนอีกด้วย
  • นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ การนอนน้อยหรือมีคุณภาพการนอนไม่ดี ทำให้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลง ร่างกายเกิดความอ่อนล้า และเมื่ออ่อนเพลียก็จะมีโอกาสที่จะทำให้อยากกินอาหารความหวานหรือไขมันมากขึ้น
  • ไม่ได้ออกกำลังกาย การที่คุณขาดการออกกำลังกายจะทำให้กล้ามเนื้อลดลง ระบบเผาผลาญแย่ลง ส่งผลให้ควบคุมน้ำหนักได้ยากขึ้น และทำให้พลังงานที่ใช้ตอนกิจกรรมทางเพศก็จะน้อยลงตามไปด้วย
  • ใช้ชีวิตอยู่กับความเครียดสะสม ความเครียดจะสัมพันธ์กับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ที่จะมายับยั้งการผลิตของฮอร์โมนเพศชาย ส่งผลต่อสมองในส่วนที่มาช่วยควบคุมอารมณ์และความต้องการทางเพศ

แนวทางการดูแลสุขภาพเพื่อไม่ให้เกิดโรคอ้วน มีอะไรบ้าง?

ความโชคดีของผู้ที่เกิดภาวะ ED โดยเกิดจากโรคอ้วนนั้น คือ สามารถรักษาได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพายามากนัก หากเริ่มมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันและดูแลสุขภาพอย่างจริงจังมากขึ้นด้วยวิธีการ ดังนี้

  • ลดน้ำหนักและไขมันในร่างกาย ซึ่งเป็นวิธีที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ยาก คือ การกระทำ แต่หารู้ไม่ว่าเพียงแค่ลดน้ำหนักลง 5–10% จากเดิม ก็สามารถช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชาย และทำให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากตัวอย่างงานวิจัยหนึ่งของต่างประเทศพบว่า การลดน้ำหนักเฉลี่ย 15 กิโลกรัมสำหรับผู้ที่มีโรคอ้วนในเวลา 2 ปี ทำให้ชายที่มีภาวะ ED กว่า 30% ฟื้นฟูสมรรถภาพได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งยา

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายประเภทคาร์ดิโออย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน ช่วยให้หัวใจแข็งแรงขึ้น และยังเป็นการเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังอวัยวะเพศ ทำให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น

  • หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงและน้ำตาล ลดอาหารประเภทของทอด อาหารที่มีน้ำตาลสูง อาหารฟาสต์ฟู้ด และเพิ่มการกินผัก ผลไม้ โปรตีนที่ดี เช่น ปลา ไข่ หรือถั่ว เพื่อควบคุมไขมันในเลือด น้ำหนักและฮอร์โมนให้สมดุล

  • พักผ่อนให้เพียงพอและลดความเครียด การนอนหลับอย่างเพียงพออย่างร้อยวันละ 6–8 ชั่วโมง ช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) หรือ “ฮอร์โมนความเครียด” ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อสมรรถภาพทางเพศ และจากผลสำรวจพบว่าการนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมง จะมีผลต่อระดับฮอร์โมนเพศชายที่น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ช่วงเวลาตอนที่เรานอนเป็นช่วงที่ร่างกายซ่อมแซมเซลล์ และระบบหลอดเลือด ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการแข็งตัวของอวัยวะเพศ

  • หยุดสูบบุหรี่และลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะ สารนิโคตินในบุหรี่และแอลกอฮอล์ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตแย่ลง หลอดเลือดหดตัว ลดการไหลเวียนเลือดไปยังอวัยวะเพศ ส่งผลให้ความต้องการทางเพศลดลง และเร่งการเกิดภาวะ ED ในระยะยาวอีกด้วย

การลดน้ำหนักไม่ได้ช่วยแค่ในเรื่องของสุขภาพและภาวะ ED เพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง ซึ่งก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันในการมีเพศสัมพันธ์ที่ดี ผู้ชายจำนวนมากพบว่าหลังจากลดน้ำหนักได้สำเร็จตามเป้าที่ตัวเองตั้งไว้ช่วยให้แข็งตัวของอวัยวะเพศดีขึ้น มีพลังงาน ความรู้สึกกระตือรือร้น และความสุขในชีวิตก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

 

แล้วเมื่อไหร่ควรเริ่มปรึกษาแพทย์?

หากคุณเป็นผู้ชายที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์หรืออ้วน และเริ่มมีปัญหาด้านสมรรถภาพทางเพศ แม้ว่าจะพยายามปรับพฤติกรรมแล้วแต่ยังไม่มีอะไรดีขึ้น ควรเริ่มเข้ามารับคำปรึกษาและการประเมินจากแพทย์ เพราะอาการเหล่านี้อาจมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ซ่อนอยู่ โดยที่ต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ เช่น ความไม่สมดุลของฮอร์โมน การไหลเวียนเลือดผิดปกติ หรือความเครียดเรื้อรัง ซึ่งในบางกรณีแพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาช่วยเสริมสมรรถภาพ หรือทางเลือกเพิ่มเติม เช่น การใช้ฮอร์โมนบำบัดหรือการรักษาภาวะโรคอ้วน เพื่อรักษาสุขภาพและการแข็งตัวให้ดีขึ้น



ความเครียดกับภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (ED)

เช็ค 3 ระดับความเครียด รู้ทันก่อนมีปัญหาเสื่อมสมรรถภาพของผู้ชาย (ED)

ความเครียดกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน สำหรับคนที่ต้องแบกทั้งความรับผิดชอบ ทั้งในเรื่องของครอบครัว หน้าที่การงาน และความคาดหวังจากคนรอบข้าง แต่หารู้ไม่ความเครียดนั้นอาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่หากปล่อยให้ความเครียดสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็อาจนำไปสู่ “โรคเครียด” ที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย จิตใจ คุณภาพชีวิต ไปจนถึงการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศของผู้ชาย (ED) โดยไม่รู้ตัว 

แล้วคุณสงสัยไหมว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้เราเครียดแค่ไหน? แล้วต้องทำอย่างไร?

จริง ๆ แล้วความเครียดนั้นแบ่งออกเป็น 3 ระดับด้วยกัน ซึ่งแต่ละระดับก็มีอาการและวิธีการรับมือที่แตกต่างกัน ในบทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับความเครียดทั้ง 3 ระดับ พร้อมสัญญาณเตือน และแนวทางในการดูแลตัวเองที่เหมาะสำหรับผู้ชายที่ไม่อยากให้ตัวเองก้าวเข้าสู่โรคเครียด

 

1. ความเครียดระดับปกติ (Normal Stress)

ความเครียดระดับปกติ เป็นรูปแบบของความเครียดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในชีวิตประจำวัน และเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นวัยเรียน วัยทำงาน หรือผู้บริหารระดับสูง เช่น ความกังวลก่อนประชุม ตื่นเต้นก่อนขึ้นเวที หรือเจอสถานการณ์ไม่คาดฝัน โดยทั่วไปแล้วความเครียดในระดับนี้จะเป็นแบบชั่วคราว และไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพหากสามารถรับมือได้อย่างเหมาะสม

 

สัญญาณเตือนที่พบได้:

  • รู้สึกตื่นเต้น หรือมีความกังวลเล็กน้อย เช่น หัวใจเต้นแรง มือเย็น มีเหงื่อออกที่มือบ้าง แต่ยังสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อยู่
  • สมาธิสั้นชั่วคราว บางครั้งอาจรู้สึกเหม่อหรือใจลอย หรือคิดอะไรไม่ออก แต่จะกลับมาเป็นปกติหลังจากสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียดนั้นผ่านไปแล้ว
  • อารมณ์แปรปรวนเล็กน้อย เช่น หงุดหงิดง่าย หรือมีความอ่อนไหวมากกว่าปกติ แต่ไม่มีผลต่อความสัมพันธ์ใด ๆ หรือการใช้ชีวิตในประจำวัน

แนวทางการรับมือ:

การรับมือกับความเครียดระดับปกติทำได้ด้วยวิธีง่าย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งการรักษาทางการแพทย์ แต่อาศัยการดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ

  • ฝึกการหายใจลึก ๆ ช่วยให้ผ่อนคลาย ลดอัตราการเต้นของหัวใจ และลดความตึงเครียดได้
  • จัดการเวลา และแบ่งเวลาให้ชัดเจน วางแผนล่วงหน้า ลดการทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน เพื่อลดความกดดันที่ไม่จำเป็น
  • ออกกำลังกายแบบเบา ๆ เช่น การเดินเร็ว หรือโยคะ ช่วยกระตุ้นให้เกิดการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขของร่างกาย เพื่อลดความตึงเครียด
  • หลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความเครียด เช่น กาแฟ แอลกอฮอล์ หรือการดูอะไรเครียด ๆ ก่อนนอน
2. ความเครียดสะสม (Chronic Stress)

เมื่อความเครียดเกิดขึ้นซ้ำ ๆ แม้ว่าจะเครียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เราไม่ได้จัดการความเครียดนั้นให้เหมาะสม หรือไม่มีโอกาสได้พักจิตใจจากความกดดันในชีวิตประจำวัน ความเครียดเหล่านั้นอาจสะสมและค่อย ๆ จนกลายเป็นภาวะ ความเครียดสะสม ซึ่งความเครียดระดับจะเริ่มส่งผลกระทบต่อร่างกาย และอาจเป็นหนึ่งในต้นตอของปัญหาสุขภาพในระยะยาว และเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยขึ้นในผู้ชายวัยทำงานของยุคนี้

โดยเฉพาะผู้ชายที่มีอายุ 30–50 ปี ที่มักต้องมีแรงกดดันจากหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การดูแลครอบครัว หรือความคาดหวังต่าง ๆ จากสังคม แต่กลับมีที่อยู่กับตัวเองเพื่อฟื้นฟูจิตใจน้อยลงเรื่อย ๆ ความเครียดที่ดูเหมือนจะไม่รุนแรงในช่วงแรก อาจส่งผลเสียลึก ๆ ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ และระดับฮอร์โมน ลามไปถึงการเกิดภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (ED)

 

สัญญาณเตือนที่พบได้:

  • นอนไม่หลับ หลับไม่สนิท หรือชอบตื่นกลางดึกบ่อย ๆ ร่างกายอาจรู้สึกเหนื่อยล้าอยากพักผ่อน แต่ใจกลับคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ไม่หยุด ทำให้นอนหลับไม่สนิท ตื่นมาแล้วยังรู้สึกเพลีย ๆ
  • ปวดหัว ปวดคอ ปวดไหล่ กล้ามเนื้อตึงโดยไม่รู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไร แต่จริง ๆ แล้วมักเกิดจากความเครียดที่ส่งผลต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
  • หงุดหงิดง่าย เบื่อหน่ายชีวิต ไม่อยากทำอะไร ความรู้สึกหมดแรงจูงใจ หรือไม่อินกับสิ่งที่เคยชอบ เป็นสัญญาณว่าในสมองเริ่มมีสารเคมีที่มารบกวน
  • มีปัญหาสุขภาพระบบร่างกายบางอย่าง เช่น ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ แน่นท้อง ท้องอืดบ่อย ๆ หรือความดันโลหิตสูง
  • เริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศ เช่น อวัยวะเพศแข็งตัวได้ไม่เต็มที่เหมือนเดิม

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น:

  • ฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ลดลง ความเครียดจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งไปกดการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ทำให้ไม่ค่อยมีแรง อารมณ์ไม่ดี
  • อาจเกิดภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction – ED) ความเครียดสะสมเป็นหนึ่งใจสาเหตุสำคัญอันดับต้น ๆ ของผู้ที่เกิดภาวะ ED ของผู้ชายวัยทำงาน โดยจะส่งผลกระทบ 2 ด้านหลัก ๆ คือ
    • ด้านร่างกาย ฮอร์โมนคอร์ติซอลที่สูงขึ้นส่งผลให้หลอดเลือดหดตัว เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะเพศได้น้อยลง และทำให้การแข็งตัวของอวัยวะเพศยากขึ้น
    • ด้านจิตใจ เกิดเป็นความกังวล (Performance Anxiety) คือ เมื่อมีปัญหาเรื่องการแข็งตัวของอวัยวะเพศแล้วครั้งหนึ่ง ในครั้งถัด ๆ ไปก็จะเกิดความเครียด และมีความกังวลว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอย ยิ่งทำให้ปัญหาเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก
  • เสี่ยงเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง รวมถึงภาวะฮอร์โมนแปรปรวน
  • ประสิทธิภาพในการทำงานแย่ลง คิดวิเคราะห์ช้าลง ขาดแรงบันดาลใจในการทำงาน ไม่ค่อยมีสมาธิ อาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการทำงานได้แบบไม่ตั้งใจ

แนวทางการรับมือ:

  • ปรับสมดุลการใช้ชีวิต (Work-Life Balance) แบ่งเวลาให้กับตัวเองให้ชัดเจน เหนื่อยก็พัก ไม่ต้องฝืน และอย่าแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในรูปแบบต่าง ๆ ตามที่เราถนัด การขยับร่างกายจะช่วยลดการหลั่งฮอร์โมนความเครียด และเพิ่มสารแห่งความสุขให้กับร่างกาย
  • พักผ่อนให้เพียงพอ งดการเล่นมือถือหรืออยู่กับหน้าจอให้น้อยลงโดยเฉพาะช่วงก่อนนอน หลีกเลี่ยงกาแฟหลังบ่ายสอง และก่อนนอนควรฟังเพลงเบา ๆ หรืออ่านหนังสือที่ช่วยให้ผ่อนคลายให้เป็นนิสัย
  • ฝึกการทำสมาธิ หรือหายใจลึก ๆ ที่ช่วยให้ผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิสั้น ๆ 10–15 นาทีต่อวัน จะช่วยลดความตึงเครียดที่เกิดจากระบบประสาทได้
  • หากคุณรู้สึกว่าควบคุมความเครียดหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้หลาย ๆ สัปดาห์ หรือรู้สึกว่ากำลังจะเริ่มมีภาวะ ED ทำให้เกิดปัญหา ควรเริ่มมาปรึกษาแพทย์
  • เปิดใจคุยกับคนใกล้ชิดหรือคนรักอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความเครียด และปัญหาที่เกิดขึ้น จะช่วยลดความกดดันและความคาดหวังในเรื่องเพศสัมพันธ์ ทำให้ความกังวลในส่วนนั้นลดลง อาจช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นได้
3. ความเครียดรุนแรง หรือภาวะหมดไฟ (Severe Stress or Burnout)

หากคุณมีความเครียดสะสมเป็นเวลานานเกินไป และไม่ได้รับการดูแลหรือจัดการความเครียด อาจนำไปสู่ความเครียดระดับรุนแรงที่สุด หรือที่เรียกว่าภาวะหมดไฟ ซึ่งร่างกายและจิตใจจะเริ่มส่งสัญญาณเตือนชัดเจนว่า คุณไม่ไหวแล้ว คุณถึงขีดจำกัดแล้ว หากเกิดภาวะนี้ มันไม่ใช่แค่การเหนื่อยแบบปกติ แต่คือการหมดแรงทางอารมณ์ หมดพลังใจ และไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติได้ง่าย ๆ

สัญญาณเตือนที่พบได้:

  • หมดไฟในการทำงาน ไม่อยากลุกจากเตียงตอนเช้า รู้สึกเบื่อหน่ายกับทุกสิ่งในชีวิต แม้แต่งานที่เคยชอบ หรือสิ่งที่รัก
  • รู้สึกไร้ค่า หรือไม่มีเป้าหมายในชีวิต ตั้งคำถามกับตัวเอง เช่น ฉันทำไปทำไม? ฉันทำไปเพื่อใคร? หรือ ฉันยังมีคุณค่าอยู่หรือเปล่า?
  • สมองเบลอ จำอะไรไม่ค่อยได้ การคิด วิเคราะห์ ช้าและต่ำลง
  • มีปัญหาเรื่องเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (ED) ที่ชัดเจน ความต้องการทางเพศลดลงหรือแทบจะไม่เหลือเลย อวัยวะเพศไม่แข็งตัวหรือแข็งตัวได้ไม่นาน จนกลายเป็นปัญหาเวลามีเพศสัมพันธ์
  • น้ำหนักขึ้นหรือลดมากผิดปกติ การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักแบบผิดปกติโดยไม่ได้ตั้งใจ มักแสดงถึงความแปรปรวนของระบบฮอร์โมนในร่างกาย
  • มีความคิดลบเกี่ยวกับตัวเองอยู่เสมอ ไปจนถึงสิ่งที่น่ากลัวมาก ๆ คืออยากหายไปจากโลกนี้ รู้สึกสิ้นหวังในชีวิตอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้ารุนแรง

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น:

  • เกิดภาวะซึมเศร้า และวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา มีความเครียดรุนแรงจนอาจกลายเป็นโรคทางจิตเวชได้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือ และรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งภาวะเหล่านี้เป็นต้นเหตุของภาวะ ED ที่รุนแรงขึ้น เพราะความรู้สึกสิ้นหวัง และหมดความสนใจทุกสิ่งรอบตัว ซึ่งมักรวมไปถึงเรื่องเพศด้วย
  • บางคนพยายามหนีความเครียดด้วยการดื่มแอลกฮอล์แบบหนัก สูบบุหรี่จัด หรือหันไปใช้สารกระตุ้นต่าง ๆ เพื่อให้ร่างกายลืมความรู้สึกแย่ในเวลาชั่วคราว แต่สุดท้ายสิ่งเหล่านี้กลับยิ่งทำให้สุขภาพแย่ลงทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ ที่เป็นปัจจัยหลักของการทำลายหลอดเลือดและส่งผลเสียต่อการแข็งตัวของอวัยเพศ ยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหา ED ให้เลวร้ายลงไปอีก
  • ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างแย่ลง พลังที่จะมอบให้กับตัวเองยังแทบจะไม่มี ทำให้พลังในการรักษาความสัมพันธ์กับรอบตัวก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ยาก โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับแฟน หรือคนรัก ปัญหาเรื่อง ED อาจทำให้เกิดความห่างเหินและความไม่เข้าใจกัน และยิ่งทำให้ความเครียดเพิ่มสูงขึ้น
  • ชีวิตเริ่มรวน การใช้ชีวิตประจำวันแย่ลงทั้งสุขภาพร่างกาย จิตใจ และทำงานก็ทำได้ไม่เต็มที่เหมือนเดิม ยิ่งถ้าปล่อยไว้นาน ๆ อาจกระทบการใช้ชีวิตในระยะยาวโดยไม่รู้ตัว

แนวทางการรับมือ:

  • ควรหยุดพักทุกสิ่งอย่างจริงจัง หากรู้สึกว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว การหยุดพักทั้งงานหรือหน้าที่ประจำวันลง คือสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ ให้กลับมามีพลังชีวิตที่เป็นปกติ และอย่าคิดว่ามันคือความล้มเหลวในชีวิต
  • ปรับการใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ พยายามลดกิจกรรมหรือสิ่งที่สร้างแรงกดดันให้กับตัวเอง หันกลับมาทบทวนตัวเองช้า ๆ ว่า สิ่งไหนที่เรากำลังเครียด สิ่งที่เราสามารถวางมันลงได้
  • เข้ารับการดูแลและคำปรึกษาจากจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยา คือ คนที่จะสามารถช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองมากขึ้นได้ และหาแนวทางที่จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพจิตได้อย่างปลอดภัยมากที่สุด
  • ปัญหา ED เกิดจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจที่ซับซ้อน การเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง เช่น ระดับฮอร์โมน หรือปัญหาหลอดเลือด และรับการรักษาที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่ควรทำ

ผู้ชายหลาย ๆ คน ความเครียดอาจถูกเก็บซ่อนไว้เงียบ ๆ เพราะมักจะถูกสอนว่าเป็นผู้ชายต้องเข้มแข็ง อดทน และไม่ขี้บ่น แต่จริง ๆ แล้วการเก็บความเครียดและความอัดอั้นทุกอย่างไว้คนเดียว อาจยิ่งทำให้สุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตพังโดยไม่รู้ตัว 

ความเครียดไม่เพียงแต่จะทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อระดับฮอร์โมน ความมั่นใจในการใช้ชีวิต และที่สำคัญ คือ สมรรถภาพทางเพศ ของผู้ชายในระยะยาวได้ การกล้าที่จะยอมรับว่าตัวเองกำลังเครียดอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะเราเชื่อว่าในปัจจุบันการยอมรับว่าเรามีความเครียดนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย เพราะทุกคนล้วนมีสิ่งที่เครียดกันทั้งนั้น ถึงเวลาตรวจเช็คระดับความเครียดของตัวเอง เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับสภาพร่างกาย สภาพจิตใจและแนวทางการรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ก่อนที่จะสายเกินไป

รีวิวคุณเอ็ม M Shot Testosterone ที่ M Clinic

รีวิวคุณเอ็ม – M Shot Testosterone ที่ M Clinic

“เป็นเทรนเนอร์แล้ว ทำไมยังต้องใช้ฮอร์โมน?”
ผมโดนคำถามนี้บ่อยมากครับแต่ในฐานะคนที่ใช้ร่างกายทำงานทุกวัน ผมบอกได้เลยครับว่า…
ถึงจะฟิตแค่ไหน ร่างกายก็มีขีดจำกัดเช่นกัน

สวัสดีครับ ผมเอ็มนะครับ เป็นเทรนเนอร์ครับชีวิตประจำวันของผมคือการใช้พลังงานค่อนข้างเยอะ
เพราะต้องออกกำลังกายเอง และเทรนลูกค้าแบบตัวต่อตัวเกือบทุกวันรูปร่างกับสุขภาพเลยต้อง “พร้อม” อยู่ตลอดเวลา แต่ในช่วงหลัง ๆ มานี้ ผมเริ่มสังเกตความเปลี่ยนแปลงบางอย่างทั้งที่ยังคุมอาหารเหมือนเดิม ฝึกเหมือนเดิม แต่

  • กล้ามขึ้นช้าลง
  • เหนื่อยง่ายกว่าก่อน
  • ฟื้นตัวยาก
  • พลังงานไม่พอใช้ทั้งวัน

ผมเข้าใจเลยว่า…เรื่องวัยก็มีผลจริงๆ ฮอร์โมนที่เริ่มดรอปและนั่นทำให้ผมเริ่มมองหาตัวช่วยที่จะ เติมพลังจากข้างในแต่จะให้ลองอะไรที่เสี่ยงหรือไม่มีแพทย์ดูแล ผมไม่เอาแน่นอน

 

ทำไมถึงเลือก M Clinic?

ผมเริ่มศึกษาข้อมูลเรื่องเทสโทสเตอโรนจริงจังและมาเจอโปรแกรม M Shot Testosterone ของ M Clinic ที่นี่ไม่ใช่แค่คลินิกความงามทั่วไปนะครับแต่เป็นคลินิกที่เข้าใจผู้ชาย เพราะทีมแพทย์ก็เป็นผู้ชายรู้ถึงปัญหาของผู้ชายว่ามีความกังวลอะไร 

ก่อนเริ่มโปรแกรม จะมีการ ตรวจเลือดแบบละเอียด ดูทั้งฮอร์โมน ค่าตับ ความหนืดเลือด ฯลฯ คุณหมอจะวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนให้เหมาะกับแต่ละคนไม่ใช่ฉีดตามใจอยากจะมาฉีดตอนไหนก็ได้นะครับ จุดนี้แหละ ที่ผมรู้สึกว่าไว้ใจได้จริง

 

ความเปลี่ยนแปรงร่างกายเริ่มตอบสนองตั้งแต่เข็มที่ 2–3

หลังจากเริ่มโปรแกรม ผมฉีดสัปดาห์ละ 1 เข็ม และมีการวัด InBody ทุกครั้ง เพื่อดูการเปลี่ยนแปลง

ตอนเข็มที่ 1 ยังไม่รู้สึกอะไรมากแต่พอเข้าเข็มที่ 2–3 ร่างกายเริ่ม “ ฟื้นตัวได้ดีขึ้น ”

  • นอนหลับลึกขึ้น
  • ตื่นมาไม่เพลีย
  • ออกกำลังกายแล้วไหวมากขึ้น
  • กล้ามเนื้อเริ่มแน่นขึ้นแบบรู้สึกได้จริง

และหลังครบ 5 เข็ม ผมรู้เลยว่า “ฟีลลิ่งตอนเทรนมันกลับมาแล้ว” คือเหนื่อยน้อยลง มีแรงในยิม แม้จะเป็นวันทำงานหนักก็ตาม

#Testosterone #เพิ่มมวลกล้าม #เพิ่มกล้าม #กล้าม #muscle
#Testosterone #เพิ่มมวลกล้าม #เพิ่มกล้าม #กล้าม #muscle
#Testosterone #เพิ่มมวลกล้าม #เพิ่มกล้าม #กล้าม #muscle
#Testosterone #เพิ่มมวลกล้าม #เพิ่มกล้าม #กล้าม #muscle
#Testosterone #เพิ่มมวลกล้าม #เพิ่มกล้าม #กล้าม #muscle

แล้วทำไมเทรนเนอร์ต้องใช้ฮอร์โมน?

ผมว่าหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นเทรนเนอร์ = ต้องเพอร์เฟกต์ แต่เราก็เป็นคนธรรมดาที่มีเป้าหมายของตัวเองเหมือนกันครับ ผมอยากพาร่างกายไปได้ “ไกลกว่านี้” แบบปลอดภัย และอีกอย่างคือ ผมอยากมีประสบการณ์จริงไว้แนะนำลูกเทรน เวลามีคนมาปรึกษาเรื่องฮอร์โมน หรือเจอปัญหาแบบเดียวกัน ผมจะได้ไม่พูดแค่ตามทฤษฎี แต่แชร์จากสิ่งที่ตัวเองลองมาแล้วจริง ๆ

มองเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก

ผมรู้ว่ามีบางคนเลือก “ปักฮอร์โมนเอง” หรือให้เทรนเนอร์ฉีดให้ ซึ่งบอกตามตรงว่าผมก็เคยไปเรียนรู้ระบบนั้นมาเหมือนกันแต่สุดท้ายผมเลือกแบบที่ มีคุณหมอดูแล เพราะปลอดภัยกว่าเยอะ การตรวจเลือดก่อนเริ่มช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง และทำให้เราใช้ฮอร์โมนได้ “อย่างมีประสิทธิภาพ”

สำหรับผม การฟิตต้องควบคู่กับ “ความฉลาดในการดูแลตัวเอง” ไม่ใช่แค่เน้นเร็ว เห็นผลไว แต่เสี่ยงพัง

M Shot Testosterone เหมาะกับใคร?

ผมว่าผู้ชายหลายคนอาจจะกำลังเจอจุด “ตัน” แบบผม ออกกำลังกายแล้วไม่เห็นผล ฟื้นตัวยาก หรือรู้สึกว่าพลังงานในแต่ละวันไม่เหมือนเดิมโดยเฉพาะคนวัย 30 ขึ้นไป M Shot อาจเป็นตัวช่วยที่ดี
แต่ต้องอยู่ในมือแพทย์เท่านั้นนะครับ

ฝากถึงคนที่สนใจฉีดฮอร์โมนเพิ่มกล้าม M Shot Testosterone

ถ้าใครกำลังหาวิธีดูแลตัวเองจากภายใน อยากรีเซ็ตพลัง เพิ่มกล้าม หรืออยากกลับมาฟิต ผมแนะนำให้ลองปรึกษาคุณหมอที่ M Clinic ดูครับ ทุกอย่างวางแผนเฉพาะบุคคล ปลอดภัย มีมาตรฐาน ผมเห็นผลจริงเลยอยากแชร์ให้คนอื่นได้ดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีเช่นกันครับ

Posts pagination