การเพิ่มขนาดน้อง ช.มีกี่วิธี ?
การเพิ่มขนาดน้องช. มีกี่วิธี ?
ด้วยวิธีการเพิ่มขนาดมีหลากหลายมากซึ่งแต่ละวิธีก็แตกต่างกันออกไปกับความต้องการและความเหมาะสม
1.การฉีด PRP (วิธีแนะนำ)
เป็นการเพิ่มขนาดและความแข็งแรงให้กับอวัยวะเพศชายได้โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยการใช้เลือดของผู้เข้ารับบริการในการสกัด Growth Factor เพื่อผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง ไม่เสี่ยงต่อการแพ้หรือผลข้างเคียง แนะนำให้ทำหลายครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
2.การฉีดฟิลเลอร์ (วิธีแนะนำ)
เป็นหนึ่งในทางเลือกในการเพิ่มขนาด หรือปรับรูปทรงของน้องชายให้ดูดีขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากในขณะนี้ เพราะเห็นผลลัพธ์เลยทันทีหลังทำ มีความปลอดภัยสูง เพราะใช้ฟิลเลอร์ชนิดแบบเดียวกันกับที่ฉีดหน้า สามารถฉีดเพิ่มขนาดที่หัวได้ และสามารถปั้นปรับแต่งทรงง่าย จึงได้รูปทรงที่ออกมาเป็นธรรมชาติ
3.การทำ Shockwave (วิธีแนะนำ)
วิธีนี้จะใช้คลื่น Shockwave เข้าไปที่บริเวณน้องชาย โดยจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างหลอดเลือดฝอยขึ้นมาใหม่ กระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูเซลล์ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น และที่ M Clinic จะมีเทคนิคพิเศษที่กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ทำให้สามารถเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้นได้ประมาณ 0.5-1 นิ้ว และความยาวอาจจะเพิ่มได้ประมาณครึ่งนิ้ว
4.การฉีดไขมัน
เป็นวิธีการที่ใช้ไขมันตนเองมาสกัดให้ได้เซลล์ แล้วจึงนำไปฉีดเข้าที่น้องชาย ไม่เสี่ยงต่อการแพ้ และสามารถเติมได้มากไม่จำกัดปริมาณ แต่ต้องเติมมากกว่าความต้องการไป 2-3 เท่า เพราะโอกาสที่ไขมันจะติดมีแค่ 30-50% และวิธีการนี้จะไม่สามารถใช้ฉีดบริเวณหัวของน้องชายได้ และต้องฉีดซ้ำ ถึงจะได้ขนาดที่คงตัว
5.ผ่าตัดใส่ซิลิโคน
วิธีนี้จะใช้การผ่าตัดเสริมซิลิโคนเข้าไปที่บริเวณน้องชาย โดยปัจจุบันมีการผลิตซิลิโคนที่ใช้หลากหลายรูปแบบ มีรูปร่างแตกต่างกันตามความต้องการ วิธีนี้จะเป็นการเพิ่มขนาดที่คงทนถาวร แต่จะแก้ไขได้ยาก และไม่สลายไปเองตามธรรมชาติ
6.ผ่าตัดเนื้อเยื่อเทียม
เป็นวิธีที่จะตัดแต่งเนื้อเยื่อเทียมให้เข้ากับขนาด และนำไปเสริมเข้าไปที่บริเวณของน้องชายโดยวิธีการผ่าตัด สามารถเพิ่มเส้นรอบวงของน้องชายได้เลยทันที มีความปลอดภัยเนื่องจากเป็นสารธรรมชาติ และมีโครงสร้างใกล้เคียงเนื้อเยื่อผิว ทำให้โอกาสร่างกายต่อต้านน้อย เนื้อเยื่อเทียมจะมีลักษณะเป็นแผ่นซึ่งจะนิ่มลงตามกาลเวลา แตกต่างจากการผ่าตัดใส่ซิลิโคนที่อยู่คงทนถาวร
7.ผ่าตัดใส่เนื้อเยื่อจากถุงอัณฑะ
วิธีนี้จะผ่าตัดโดยใช้กล้ามเนื้อบริเวณถุงอัณฑะ นำไปวางใต้ผิวหนังรอบๆน้องชาย หลังผ่าตัดจะสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้เลยทันที แต่เป็นวิธีที่ไม่ได้รับความนิยมนัก เพราะเหมาะกับการใช้รักษาในกลุ่มคนที่ฉีดสารเหลว และใช้เวลาในการพักฟื้นนาน
8.ผ่าตัดปลดเส้นเอ็น
เป็นวิธีเพิ่มขนาดความยาวของน้องชาย โดยใช้วิธีการผ่าตัดยืดขยายเส้นเอ็นที่ยึดบริเวณเชิงกรานออก ทำให้น้องชายยืดออกนอกลำตัวได้มากขึ้น จึงช่วยทำให้เพิ่มความยาวได้ แต่วิธีการนี้ทำให้เกิดรอยแผลผ่าตัด และหากเกิดผลข้างเคียงจากการผ่าตัดอาจทำให้น้องชายหดสั้นลงได้
9. ผ่าตัดไขมัน
เป็นวิธีเพิ่มขนาดความยาวของน้องชาย โดยใช้วิธีการตัดนำไขมันบริวณหัวหน่าวออก จะช่วยให้ขนาดยาวขึ้นได้ แต่อาจทำให้เกิดรอยแผลจากการผ่าตัด และวิธีนี้เหมาะกับคนที่มีไขมันสะสมมากบริเวณรอบฐานน้องชายจนทำให้ดูสั้น
การเลือกวิธีที่เหมาะสมควรพิจารณาความปลอดภัยและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
เลเซอร์กำจัดขนทำไมต้องทำหลายครั้ง?
เลเซอร์กำจัดขนทำไมต้องทำหลายครั้ง ❓
เนื่องจากเส้นขนของคนเรามีวงจรชีวิตทั้งหมด 3 ระยะ คือระยะ Anlagen Catagen Telogen เลเซอร์ขนจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดกับขนที่อยู่ในระยะAnlagen เป็นระยะเจริญเติมโตของเส้นขน หากอยู่ในระยะอื่นจะไม่สามารถกำจัดขนออกได้หมด เลยเป็นสาเหตุหลักที่ต้องมาทำเลเซอร์กำจัดขนหลายครั้ง
โปรแกรม M Ai Laser Hair Removal ที่ M Clinic
เป็นเครื่องใหม่ที่เป็น Ai กำจัดขนแค่ครั้งแรก👍🏻ขนลดลงไปถึง 30% ทำให้การเลเซอร์ขนไม่ต้องทำบ่อยแค่เดือนล่ะครั้งก็เพียงพอ
✔️ ขนบางลง เห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรก
✔️ ช่วยกระชับขนาดรูขุมขน และผิวเรียบเนียนขึ้น
✔️ ช่วยชะลอการเกิดใหม่ของเส้นขน
✔️ พลังงานลงลึกถึงรากขน
ฉีดเพิ่มขนาดน้องชายเหมาะกับใคร ?
ฉีดเพิ่มขนาดน้องชายเหมาะกับใคร ?
✅ คนที่ไม่ต้องการผ่าตัด
✅ คนที่ต้องการเพิ่มขนาดทันที
✅ คนที่ขลิบหนังหุ้มปลายมาแล้ว
4 เหตุผลทำไมต้องตรวจเลือด
4 เหตุผลทำไมต้องตรวจเลือดก่อนเข้ารับบริการ
M Shot Testosterone
1. การฉีดฮอร์โมนต้องดูแลโดยแพทย์เท่านั้น
2. เพื่อลดความเสี่ยงหรือผลข้างเคียงก่อนรับฮอร์โมน
.
3. เพื่อวางแผนปริมาณการใช้ยาให้เหมาะสม
4. เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการรับฮอร์โมน
8 วิธีเพิ่มขนาดอวัยวะเพศตามธรรมชาติ
วิธีต่าง ๆ ที่ทำเพื่อขยายขนาดอวัยวะเพศได้ผลจริงหรือไม่
ผู้ชายส่วนมากต่างอยากให้อวัยวะเพศของตัวเองมีขนาดใหญ่ เพื่อแสดงถึงความเป็นชายและดึงดูดด้วยพลังแห่งฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนที่ปรากฎออกมาทางร่างกาย แม้องคชาตขนาดใหญ่จะเปรียบเสมือนตัวแทนแห่งความเป็นชาย ความแข็งแกร่งและพลัง แต่หากทราบว่าขนาดองคชาตโดยเฉลี่ยคือเท่าไร คุณจะประหลาดใจแน่นอน… 6 นิ้วเป็นความยาวโดยเฉลี่ยที่เรารับรู้กันมานาน แต่สถิติจริงกลับอยู่ที่ 5.1-5.5 นิ้ว
การเพิ่มขนาดอวัยวะเพศด้วย 8 วิธีธรรมชาติยอดนิยม
ก่อนจะเจาะลึกลงไปยังวิธีที่ช่วยให้อวัยวะเพศชายใหญ่ขึ้นได้ตามธรรมชาติ ต้องทราบก่อนว่าเทคนิคเหล่านี้เป็นเทคนิคชั่วคราว วิธีเดียวที่จะเพิ่มขนาดองคชาตได้อย่างถาวรคือการผ่าตัด
นอกจากการผ่าตัดแล้ว ต่อไปนี้คือเทคนิค การออกกำลังกาย และวิธีที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มขนาดอวัยวะเพศชั่วคราว
1. ออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อ
เช่นเดียวกับวิธีออกกำลังกายอื่น ๆ ที่ทำเพื่อเพิ่มขนาดองคชาต การยืดกล้ามเนื้อจะทำให้เกิดรอยฉีกขนาดเล็กในเนื้อเยื่อบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากการออกกำลังกาย ซึ่งกระบวนการสมานแผลที่ตามมาสามารถเพิ่มความยาวเส้นรอบวงขององคชาตได้
การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มขนาดอวัยวะเพศ
- ให้องคชาตอยู่ในสภาวะกึ่งแข็งตัว
- หากต้องการความสะดวกสบายมากขึ้นให้ใช้สารหล่อลื่น – สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าเป้าหมายคือการเพิ่มขนาดองคชาต ไม่ใช่การช่วยตัวเอง
- ทำนิ้วเป็นวงกลมโดยให้ปลายนิ้วชี้และนิ้วโป้งเชื่อมต่อกัน
- จับโคนองคชาตด้วยนิ้วชี้และนิ้วโป้งที่เชื่อมต่อกันเป็นวงกลมและยืดออกในลักษณะรูดขึ้นเป็นเวลา 30 วินาที
- บีบนิ้วชี้และนิ้วโป้งเข้าหากัน ให้รัดแกนด้านในขององคชาตอย่างช้า ๆ
- ค่อย ๆ เคลื่อนไหวมือขึ้นตามลำองคชาตและคลายการบีบรัดลงเมื่อเคลื่อนขึ้นไปถึงหัว โดยให้เคลื่อนไหวมือขึ้นด้วยความเร็วคงที่
- คลายการบีบรัดและกลับไปเริ่มที่โคนองคชาตเพื่อทำซ้ำขั้นตอนเดิม โดยการยืดอวัยวะเพศด้วยวิธีนี้ไม่ควรเกิน 20 นาที
2. เครื่องปั๊มอวัยวะเพศ
หลักการเดียวกับวิธีส่วนใหญ่ในการเพิ่มขนาดอวัยวะเพศตามธรรมชาติ เครื่องปั๊มอวัยวะเพศเป็นอุปกรณ์ขยายขนาดอวัยวะเพศที่ถูกออกแบบมาเพื่อปรับปรุงการไหลเวียนของเลือด ผลลัพธ์ของการปั๊มอวัยวะเพศค่อนข้างมีแนวโน้มที่ดี ช่วยเพิ่มเส้นรอบวงและขนาดขององคชาตได้ชั่วคราว แต่หากต้องการคงผลลัพธ์ดังกล่าวไว้ ก็จะต้องคงความตื่นตัวทางเพศไว้ด้วย เครื่องปั๊มอวัยวะเพศเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ากระบอกสุญญากาศ วิธีการก็คือสอดใส่อวัยวะเพศเข้าไปในกระบอกและบีบลูกยางหรือเปิดเครื่องเพื่อดึงเลือดไปเลี้ยงให้องคชาตแข็งตัว แม้การใช้เครื่องช่วยเหล่านี้จะไม่สามารถเพิ่มขนาดองคชาตได้ถาวร แต่ก็ช่วยให้อวัยวะเพศแข็งตัวขึ้นได้
3. ยาเพิ่มขนาดอวัยวะเพศตามธรรมชาติ
เป็นยาที่ช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศ ยาที่คนนิยมใช้กัน ได้แก่ Sildenafil (มักขายภายใต้ชื่อแบรนด์ไวอากร้า) และ Tadalafil (รู้จักกันดีภายใต้ชื่อแบรนด์เซียลิส) ทั้งสองเป็นยาต้านการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ หากการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศดีขึ้น ก็จะทำให้อวัยวะเพศใหญ่ขึ้นเมื่อแข็งตัว แต่หากการไหลเวียนของเลือดไม่ดี มันจะขัดขวางไม่ให้คุณเข้าถึงศักยภาพสูงสุด อย่างไรก็ตาม ยาเหล่านี้ไม่ใช่ยาตามธรรมชาติ
แล้วยาเพิ่มขนาดอวัยวะเพศตามธรรมชาติคืออะไร… แม้ว่าอาหารเสริมบางชนิดจะช่วยเพิ่มขนาดอวัยวะเพศตามธรรมชาติได้ แต่ก็ยังขาดการพิสูจน์ทางคลินิกที่จะนำมาสนับสนุนคำกล่าวอ้างดังกล่าว
– โสม เมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือด และช่วยรักษาระดับฮอร์โมนเพศชาย (เทสโทสเทอโรน)
– เกสรสน อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ การรักษาด้วยยาจีนนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสารกระตุ้นความต้องการทางเพศตัวแรกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่เคยค้นพบมา
– โยฮิมไบน์ เปลือกของต้นไม้ที่เขียวชอุ่มตลอดปี พบในแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก ถูกนำมาใช้เพื่อรักษาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศนานหลายศตวรรษ เชื่อกันว่าจะช่วยกระตุ้นการปล่อยฮอร์โมน Epinephrine และNorepinephrine ที่ช่วยยับยั้งผลกระทบจากสารเคมีในร่างกายและสารที่ทำให้อวัยวะเพศหดตัว
– มะค่า เป็นพืชพื้นเมืองของเปรูที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสารกระตุ้นทางเพศ ว่ากันว่าสามารถเพิ่มความต้องการทางเพศและจำนวนสเปิร์มได้ อีกทั้งมะค่ายังมีชื่อเสียงด้านการต่อสู้กับภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศด้วย
– แปะก๊วยและหญ้าแพะหงี่ แปะก๊วยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะเพศด้วยการขยายหลอดเลือด ส่วนหญ้าแพะหงี่เป็นยาแผนโบราณที่ใช้ในการแพทย์แผนจีนเป็นเวลาหลายพันปี โดยมีฤทธิ์ในลักษณะเดียวกัน คือขัดขวางเอนไซม์ที่ยับยั้งการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศ
4. การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานช่วยให้เลือดไหลเวียนไปยังอวัยวะเพศและทำให้องคชาตแข็งตัวมากขึ้น การออกกำลังกายกล้ามเนื้อส่วนนี้ให้แข็งแรงขึ้นอาจส่งผลให้องคชาตแข็งตัวมากขึ้นด้วย เนื่องจากการไหลเวียนที่เพิ่มขึ้นในบริเวณอุ้งเชิงกรานทำให้ปริมาณเลือดที่มีอยู่ไหลเวียนไปยัง Corpora Cavernosa หรือแท่งเนื้อเยื่อพรุน 2 แท่งที่ทอดไปตามความยาวขององคชาตที่คั่งไปด้วยเลือดเมื่อมีอารมณ์ทางเพศและส่งผลให้เกิดการแข็งตัวของอวัยวะเพศ ดังนั้นการบริการกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานจึงทำให้ขนาดอวัยวะเพศใหญ่ขึ้นได้ตามธรรมชาติ
ตามที่ Harvard Health ระบุไว้ ต่อไปนี้คือวิธีบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
– หากล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานของตัวเองให้เจอ สำหรับผู้ชายให้ทำเป็นว่ากำลังกลั้นตดหรือกลั้นปัสสาวะ
– ฝึกการเกร็งกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ให้นอนหงายและเกร็งกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาในการทำ โดยเริ่มจากเกร็งกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเป็นเวลา 3-5 วินาที และผ่อนคลาย 3-5 วินาที จากนั้นทำซ้ำอีก 10 ครั้ง
– ผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ อย่าให้การเกร็งกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานลามไปถึงก้นหรือหน้าท้อง พยายามให้กล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ อยู่ในสภาวะผ่อนคลายในขณะที่คุณกำลังบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
– เพิ่มระยะเวลา เกร็งกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานในแบบของคุณเองเป็นเวลา 10 วินาที
– ฝึกฝน ขยันออกกำลังกายและพยายามเกร็งกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้ได้วันละ 30-40 ครั้ง
กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่แข็งแรงช่วยลดอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ และช่วยให้การแข็งตัวของคุณแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
5. อุปกรณ์เพิ่มความยาวขององคชาต
อุปกรณ์เพิ่มความยาวขององคชาตหรือ Penis Enlargers เป็นโครงที่ติดเข้ากับองคชาตตอนอ่อนตัวและสามารถยืดให้ยาวขึ้นได้ แม้จะมีการพิสูจน์ผลของอุปกรณ์ยืดอวัยวะเพศ (หากใช้ประจำเป็นระยะเวลานาน) แต่ประสิทธิภาพของมันก็ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ชัดเจน เนื่องจากผลการศึกษาบางส่วนบอกว่าอุปกรณ์เพิ่มความยาวขององคชาตได้ผลดีกับผู้ชายที่มีขนาดเล็กกว่าปกติในช่วง 6 เดือน บางรายงานก็พบว่าเพิ่มขึ้น 1 ถึง 2 เซนติเมตร
การใช้อุปกรณ์เพิ่มความยาวขององคชาตให้ประสบความสำเร็จที่สุด
– ให้องคชาตอยู่ในภาวะอ่อนตัว (แนะนำให้ความแข็งตัวต่ำกว่า 20%)
– ติดห่วงเข้ากับองคชาตและยึดอุปกรณ์ไว้กับโคนองคชาต
– ยึดส่วนปลายขององคชาตเข้ากับตัวยึดจับ
– เกี่ยวตัวยึดจับเข้ากับสายสำหรับดึง
– เมื่อติดตั้งอุปกรณ์เรียบร้อยแล้วให้เริ่มดึงเบา ๆ และปล่อยให้อุปกรณ์ค่อย ๆ ยืดอวัยวะเพศ
– ความตึงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการใช้อุปกรณ์ช่วยดึงคือยาวได้เต็มที่ตามความยาวปกติขององคชาต และอาจจะยืดได้อีกเล็กน้อย โปรดจำไว้ว่าความตึงที่มากเกินไปอาจสร้างความเสียหายให้กับผิวขององคชาตได้ ดังนั้นจงเตือนตัวเองไว้ว่า “น้อยแต่มาก”
6. ลดน้ำหนัก
การที่พุงขนาดใหญ่ยื่นอยู่เหนือองคชาตสามารถบดบังหรือปกปิดขนาดที่แท้จริงของอวัยวะเพศได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความรู้สึกว่าองคชาตมีขนาดเล็กกว่าความเป็นจริง การลดไขมันที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายช่วยให้มองเห็นอวัยวะเพศได้มากขึ้น อีกทั้งการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักจะทำให้ประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือดและเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณอุ้งเชิงกรานดีขึ้น ส่งผลให้องคชาตแข็งตัวขึ้น เส้นรอบวงหรือความยาวขององคชาตจะเพิ่มขึ้น
7. เล็มขนเพชร
เช่นเดียวกับการลดไขมันในร่างกาย การเล็มขนเพชรจะช่วยให้คุณเห็นขนาดที่แท้จริงขององคชาต การกำจัดขนบริเวณโคนอาจช่วยเพิ่มขนาดได้ ให้เทคนิคดูแลตัวเองง่าย ๆ แบบนี้ช่วยให้น้องชายคุณผงาด
8. แหวนรัดอวัยวะเพศ
แหวนรัดอวัยวะเพศ ห่วงรัดอวัยวะเพศ หรือสายรัดอวัยวะเพศ ใช้เพื่อไม่ให้เลือดไหลออกจากอวัยวะเพศและแข็งตัวนานขึ้น ซึ่งแหวนรัดอวัยวะเพศมีหลายประเภท สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าแบบไหนที่ใช้เพื่อเพิ่มขนาดองคชาต
แหวนรัดอวัยวะเพศประเภทต่าง ๆ
– Cock Ring หรือห่วงรัดอวัยวะเพศ น่าจะดีที่สุดในบรรดาแหวนรัดอวัยวะเพศเพราะถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเรื่องรูปลักษณ์โดยรวมขององคชาตที่คั่งไปด้วยเลือด ซึ่งห่วงรัดอวัยวะเพศประเภทนี้จะพอดีกับโคนขององคชาต แต่ก่อนที่จะสวมใส่ต้องให้องคชาตแข็งตัวก่อน วิธีการก็คือสวมห่วงรัดที่หัวและค่อย ๆ เลื่อนลงไปที่โคน
– Penoscrotal Ring หรือห่วงรัดองคชาตร่วมกับอัณฑะ ห่วงรัดอวัยวะประเภทนี้จะพอดีกับโคนขององคชาต โดยตอนสวมใส่ องคชาตจะต้องอ่อนตัวอยู่ วิธีการก็คือยัดอัณฑะใส่ห่วงทีละข้างและตามด้วยยัดองคชาตเข้าไปในห่วง เอาหัวเข้าไปก่อนแล้วค่อยดึงให้เข้าห่วงทั้งลำ เมื่อสวมใส่เรียบร้อยแล้ว ห่วงรัดอวัยวะเพศนี้จะอยู่ที่โคนองคชาตและอัณฑะ
– Testicle Ring หรือห่วงรัดอัณฑะ ห่วงรัดประเภทนี้จะพอดีกับอัณฑะ วิธีการก็คือยัดอัณฑะลงห่วงทีละข้าง เมื่อสวมใส่เรียบร้อยแล้ว ห่วงประเภทนี้จะรัดอยู่ที่อัณฑะของคุณ
ไม่ควรใช้แหวนรัดอวัยวะเพศนานเกิน 30 นาที ผู้ชายบางคนสวมแหวนรัดอวัยวะเพศร่วมกับการอาบน้ำอุ่นหรือแช่น้ำอุ่นก่อนมีเพศสัมพันธ์ เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงองคชาต
วิธีการต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นมีความเสี่ยงหรือไม่
การพยายามเพิ่มขนาดอวัยวะเพศมีความเสี่ยงอยู่บ้าง การพยายามทำให้องคชาตใหญ่ขึ้นโดยใช้เทคนิคการนวดหรือด้วยอุปกรณ์ มักจะเสี่ยงเรื่องความเสียหายของเนื้อเยื่อ การดึงหรือรูดองคชาตอย่างรุนแรงอาจทำให้เลือดออกใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดจุดสีชมพูบนองคชาตอันเนื่องมาจากความเสียหายใต้ผิวหนังที่เกิดจากความตึงหรือการเสียดสี
ค่าเฉลี่ยขนาด ” น้องชาย ” ของแต่ละประเทศ
ค่าเฉลี่ย ขนาดเจ้า 
น้องชายของแต่ละประเทศ
AFRICA
EUROPE
AMERICA
ASIA PACIFIC
8 สาเหตุทำไมผู้ชายหัวล้าน
8 สาเหตุทำไมผู้ชายหัวล้าน
1. กรรมพันธุ์
ปัญหาศีรษะล้านของผู้ชายที่เกิดขึ้นจาก “กรรมพันธุ์” ส่วนใหญ่พบว่าจะเป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างถาวร และ เริ่มแรกผมจะเส้นเล็กลง ร่วงง่าย ผมที่ขึ้นใหม่ไม่แข็งแรง จนผมบางเห็นหนังศีรษะ บริเวณที่เห็นหนังศีรษะจะกว้าง ขึ้นเรื่อยๆจนทำให้เกิดรากผมฝ่อ เป็นหัวล้านกรรมพันธุ์ขึ้นมา
2. ไทรอยด์
ภาวะที่ต่อมไทรอยด์สร้างไทรอยด์ฮอร์โมนได้ไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายทุกส่วนทำงานเชื่องช้า เนื่องจากขาดไทรอยด์ ฮอร์โมนไปกระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญพลังงานให้เซลล์ และเนื้อเยื่อต่างๆ นอกจากนี้ยังส่งผลให้เส้นผมที่ศีรษะร่วง และ อาจมีผลต่อเส้นขนทุกส่วนของร่างกาย
3. อายุ (Age)
เมื่อมีอายุมากขึ้นการไหลเวียนของเลือดที่เลี้ยงอยู่บริเวณหนังศีรษะจะลดน้อยลง รากผมมีการทำงานที่น้อยลง และมีความเสื่อมของเซลล์หนังศีรษะ ทำให้รากผมหดตัว ส่งผลให้ขนาด และ ความยาวของเส้นผมเติบโตไม่เต็มที่เหมือนช่วงวัยเจริญพันธ์
4. เทสโทสเตอโรน
เทสโทสเตอโรนจะถูกสร้างขึ้นจากต่อมลูกหมาก และ อัณฑะ ผู้ชายจะมีการเปลี่ยนแปลงจาก ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ไปเป็น ฮอร์โมนไดไฮโรเทสโทสเตอโรน (DHT) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเส้นผมของผู้ชาย ทำให้เส้นผมอ่อนแอ ไม่แข็งแรง หลุดร่วงง่าย การเกิดใหม่ของเส้นผมก็จะช้าลง อีกด้วย
5. ยาและการฉายรังสี
มียาหลายประเภทที่ทำให้เกิดอาการผมร่วง เช่น ยารักษามะเร็ง ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด ยาในกลุ่มลดความดัน ยาเกี่ยวกับฮอร์โมน ยารักษาโรคไทรอยด์ ยาป้องกันอาการชัก ยาดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดอาการผมร่วงแบบฉับพลัน เมื่อหยุดใช้ยา อาการผมร่วงก็จะหายไปได้เอง และ การฉายรังสีในการรักษามะเร็ง หรือ การใช้เคมีบำบัดก็เป็นสาเหตุที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของการเกิดอาการผมร่วง
6. ความเครียด
ความเครียดจะส่งผลทำให้เกิดอาการผมร่วงได้ 2 ประเภท คือ
1). Telogen Effluvium เป็นความเครียดชนิดรุนแรง ทำให้รากผมที่อยู่ในระยะการเจริญเติบโต (Growing phase) มีสภาวะพักการทำงานอย่างกะทันหัน ส่งผลให้เส้นผมร่วงในช่วง 2-3 เดือนแรก หลังจากนั้นประมาณ 6-9 เดือน เส้นผมจะเริ่มขึ้นมาตามปกติ
2). Alopecia Areata เป็นอาการผมร่วงจากความเครียดที่รุนแรงกว่าประเภทแรก เม็ดเลือดขาวจะเข้าไปทำลายรูขุมขนบริเวณหนังศีรษะ ทำให้เส้นผมร่วงเยอะมากในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ เริ่มจากลักษณะวงกลมเล็กๆ แล้วขยายวงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กรณีนี้เส้นผมขึ้นมาเหมือนเดิมได้ แต่ในบางคนอาจจะต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
7. โรคต่างๆ
ผู้ป่วยที่เป็นโรคบางอย่าง จะมีผลกระทบของโรคที่แตกต่างกันออกไป โดยโรคที่เป็นแล้วจะทำให้เกิดอาการผมร่วงได้ เช่น โรงเชื้อราบนหนังศีรษะ, โรคทางต่อมไทรอยด์, โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง, โรคซิฟิลิส, โรคไต เป็นต้น
8. ขาดสารอาหาร
เช่น วิตามิน B รวม ที่พบมากใน ยีสต์ และ โยเกิร์ต รวมไปถึงสารอาหารประเภทโปรตีน หากขาดสารอาหารเหล่านี้ จะก่อให้เกิดอาการผมร่วง ผมบาง ผมเปราะบาง อีกทั้งมีสีผมที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะสารอาหารเหล่านี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม และ หากร่างกายได้รับ วิตามิน A ที่มากเกินกว่าปกติ ก็จะส่งผลทำให้ผมงอกช้า มีอาการผมร่วงได้เช่นกัน
การรักษาฮอร์โมน TESTOSTERONE เพศชาย ในทางที่ผิดส่งผลอย่างไร ?
การรักษาฮอร์โมน TESTOSTERONE เพศชายในทางที่ผิดส่งผลอย่างไร ?
ในปัจจุบันมีการนำฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนชนิดสังเคราะห์มาใช้ เป็นสารกระตุ้นในการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ เพิ่มพละกำลังในการออกกำลังกาย ซึ่งการเสริมฮอร์โมนโดยไม่ได้ปรึกษาจากแพทย์และตรวจวัดค่าระดับฮอร์โมนก่อนอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่อันตรายได้ เช่น
- -เสี่ยงติดเชื้อที่ผิวหนังจากการใช้เข็มฉีดยา
- -เสี่ยงมีภาวะอารมณ์ฉุนเฉียว ก้าวร้าว
- -เสี่ยงมีภาวะความดันโลหิตสูง
- -เสี่ยงอวัยวะเพศมีอาการผิดปกติ
- -เสี่ยงมีภาวะการมีบุตรยาก
- เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ผิวหนังจากการใช้เข็มฉีดยาอีกด้วย และจะยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
สถิติสาเหตุการเกิดภาวะ ED ในผู้ชาย
- การใช้ยา – ประมาณ 25% ของผู้ชายที่มีภาวะ ED มีสาเหตุมาจากการใช้ยา
อายุ 40+ – กว่า 50% ของผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 40 ปีมีปัญหาเรื่องนกเขาไม่ขัน
1 ใน 10 ของผู้ชายประสบปัญหาน้องชายอ่อนแรง
ความดันโลหิตสูง – 30% ของผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงมีปัญหาเรื่องการแข็งตัว
โรคเบาหวาน – ผู้ชายที่เป็นโรคเบาหวานมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะ ED มากกว่าผู้ชายที่สุขภาพปกติถึง 3 เท่า
152 ล้านคน – มีการศึกษาพบว่าผู้ชาย 152 ล้านคนทั่วโลกมีอาการนกเขาไม่ขัน
- โรคประจำตัว – ภาวะน้องชายอ่อนแรงพบได้บ่อยในผู้ชายที่มีโรคประจำตัว มากกว่าผู้ชายที่มีสุขภาพปกติถึง 63.1%
- อายุต่ำกว่า 35 – ผู้ชายอายุน้อยกว่า 35 ปีที่เป็นโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดมีโอกาสเกิดภาวะ ED มากกว่าผู้ชายที่สุขภาพปกติ