8 สาเหตุทำไมผู้ชายหัวล้าน

8 สาเหตุทำไมผู้ชายหัวล้าน

1. กรรมพันธุ์
ปัญหาศีรษะล้านของผู้ชายที่เกิดขึ้นจาก “กรรมพันธุ์” ส่วนใหญ่พบว่าจะเป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างถาวร และ เริ่มแรกผมจะเส้นเล็กลง ร่วงง่าย ผมที่ขึ้นใหม่ไม่แข็งแรง จนผมบางเห็นหนังศีรษะ บริเวณที่เห็นหนังศีรษะจะกว้าง ขึ้นเรื่อยๆจนทำให้เกิดรากผมฝ่อ เป็นหัวล้านกรรมพันธุ์ขึ้นมา
 
2. ไทรอยด์
ภาวะที่ต่อมไทรอยด์สร้างไทรอยด์ฮอร์โมนได้ไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายทุกส่วนทำงานเชื่องช้า เนื่องจากขาดไทรอยด์ ฮอร์โมนไปกระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญพลังงานให้เซลล์ และเนื้อเยื่อต่างๆ นอกจากนี้ยังส่งผลให้เส้นผมที่ศีรษะร่วง และ อาจมีผลต่อเส้นขนทุกส่วนของร่างกาย
 
3. อายุ (Age)
เมื่อมีอายุมากขึ้นการไหลเวียนของเลือดที่เลี้ยงอยู่บริเวณหนังศีรษะจะลดน้อยลง รากผมมีการทำงานที่น้อยลง และมีความเสื่อมของเซลล์หนังศีรษะ ทำให้รากผมหดตัว ส่งผลให้ขนาด และ ความยาวของเส้นผมเติบโตไม่เต็มที่เหมือนช่วงวัยเจริญพันธ์
 
4. เทสโทสเตอโรน
เทสโทสเตอโรนจะถูกสร้างขึ้นจากต่อมลูกหมาก และ อัณฑะ ผู้ชายจะมีการเปลี่ยนแปลงจาก ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ไปเป็น ฮอร์โมนไดไฮโรเทสโทสเตอโรน (DHT) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเส้นผมของผู้ชาย ทำให้เส้นผมอ่อนแอ ไม่แข็งแรง หลุดร่วงง่าย การเกิดใหม่ของเส้นผมก็จะช้าลง อีกด้วย
 
5. ยาและการฉายรังสี
มียาหลายประเภทที่ทำให้เกิดอาการผมร่วง เช่น ยารักษามะเร็ง ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด ยาในกลุ่มลดความดัน ยาเกี่ยวกับฮอร์โมน ยารักษาโรคไทรอยด์ ยาป้องกันอาการชัก ยาดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดอาการผมร่วงแบบฉับพลัน เมื่อหยุดใช้ยา อาการผมร่วงก็จะหายไปได้เอง และ การฉายรังสีในการรักษามะเร็ง หรือ การใช้เคมีบำบัดก็เป็นสาเหตุที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของการเกิดอาการผมร่วง
 
6. ความเครียด
ความเครียดจะส่งผลทำให้เกิดอาการผมร่วงได้ 2 ประเภท คือ
1). Telogen Effluvium เป็นความเครียดชนิดรุนแรง ทำให้รากผมที่อยู่ในระยะการเจริญเติบโต (Growing phase) มีสภาวะพักการทำงานอย่างกะทันหัน ส่งผลให้เส้นผมร่วงในช่วง 2-3 เดือนแรก หลังจากนั้นประมาณ 6-9 เดือน เส้นผมจะเริ่มขึ้นมาตามปกติ
2). Alopecia Areata เป็นอาการผมร่วงจากความเครียดที่รุนแรงกว่าประเภทแรก เม็ดเลือดขาวจะเข้าไปทำลายรูขุมขนบริเวณหนังศีรษะ ทำให้เส้นผมร่วงเยอะมากในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ เริ่มจากลักษณะวงกลมเล็กๆ แล้วขยายวงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กรณีนี้เส้นผมขึ้นมาเหมือนเดิมได้ แต่ในบางคนอาจจะต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
 
7. โรคต่างๆ
ผู้ป่วยที่เป็นโรคบางอย่าง จะมีผลกระทบของโรคที่แตกต่างกันออกไป โดยโรคที่เป็นแล้วจะทำให้เกิดอาการผมร่วงได้ เช่น โรงเชื้อราบนหนังศีรษะ, โรคทางต่อมไทรอยด์, โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง, โรคซิฟิลิส, โรคไต เป็นต้น
 
8. ขาดสารอาหาร
เช่น วิตามิน B รวม ที่พบมากใน ยีสต์ และ โยเกิร์ต รวมไปถึงสารอาหารประเภทโปรตีน หากขาดสารอาหารเหล่านี้ จะก่อให้เกิดอาการผมร่วง ผมบาง ผมเปราะบาง อีกทั้งมีสีผมที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะสารอาหารเหล่านี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม และ หากร่างกายได้รับ วิตามิน A ที่มากเกินกว่าปกติ ก็จะส่งผลทำให้ผมงอกช้า มีอาการผมร่วงได้เช่นกัน

การรักษาฮอร์โมน TESTOSTERONE เพศชาย ในทางที่ผิดส่งผลอย่างไร ?

การรักษาฮอร์โมน TESTOSTERONE เพศชายในทางที่ผิดส่งผลอย่างไร ?

ในปัจจุบันมีการนำฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนชนิดสังเคราะห์มาใช้ เป็นสารกระตุ้นในการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ เพิ่มพละกำลังในการออกกำลังกาย  ซึ่งการเสริมฮอร์โมนโดยไม่ได้ปรึกษาจากแพทย์และตรวจวัดค่าระดับฮอร์โมนก่อนอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่อันตรายได้ เช่น

  • -เสี่ยงติดเชื้อที่ผิวหนังจากการใช้เข็มฉีดยา
  • -เสี่ยงมีภาวะอารมณ์ฉุนเฉียว ก้าวร้าว
  • -เสี่ยงมีภาวะความดันโลหิตสูง
  • -เสี่ยงอวัยวะเพศมีอาการผิดปกติ 
  • -เสี่ยงมีภาวะการมีบุตรยาก
  • เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ผิวหนังจากการใช้เข็มฉีดยาอีกด้วย และจะยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน

สถิติสาเหตุการเกิดภาวะ ED ในผู้ชาย

  • การใช้ยา – ประมาณ 25% ของผู้ชายที่มีภาวะ ED มีสาเหตุมาจากการใช้ยา

 

  • อายุ 40+ – กว่า 50% ของผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 40 ปีมีปัญหาเรื่องนกเขาไม่ขัน

 

  • 1 ใน 10 ของผู้ชายประสบปัญหาน้องชายอ่อนแรง

  • ความดันโลหิตสูง – 30% ของผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงมีปัญหาเรื่องการแข็งตัว

 

  • โรคเบาหวาน – ผู้ชายที่เป็นโรคเบาหวานมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะ ED มากกว่าผู้ชายที่สุขภาพปกติถึง 3 เท่า

 

  • 152 ล้านคน – มีการศึกษาพบว่าผู้ชาย 152 ล้านคนทั่วโลกมีอาการนกเขาไม่ขัน

  • โรคประจำตัว – ภาวะน้องชายอ่อนแรงพบได้บ่อยในผู้ชายที่มีโรคประจำตัว มากกว่าผู้ชายที่มีสุขภาพปกติถึง 63.1%

 

  • อายุต่ำกว่า 35 – ผู้ชายอายุน้อยกว่า 35 ปีที่เป็นโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดมีโอกาสเกิดภาวะ ED มากกว่าผู้ชายที่สุขภาพปกติ

มาทำความรู้จักกับ NEUAVIA Hybrid Filler คืออะไร และดีกว่า Filler ยี่ห้ออื่นอย่างไร

มาทำความรู้จักกับ NEUAVIA Hybrid Filler คืออะไร และดีกว่า Filler ยี่ห้ออื่นอย่างไร

Neauvia = New way
Neauvia เป็นภาษาอิตาลี แปลว่าได้ว่า ฟิลเลอร์แนวใหม่นั่นเอง เป็นฟิลเลอร์ที่ผสมผสานกันระหว่าง
– Organic HA (hyaluronic acid)
– PEG (polyethylene glycol)
– CaHA (calcium hydroxyapatite)

ทำให้มีคุณสมบัติที่แตกต่างของ Hybrid Filler

1. ทนความร้อน
2. เติมเติมและเสริมสร้างคอลลาเจน
3. ไม่บวมหลังฉีด

ทำไม Neauvia filler ถึงมีความพิเศษแตกต่างกับฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น

  • HA (hyaluronic acid)
    ที่ใช้ผลิตมาจาก Probiotics bacteria ชื่อว่า Bacillus subtilis ซึ่งเป็นแบคทีเรียตัวเดียวกับที่ใช้ทำถั่วนัตโตะ หรือถั่วหมักของญี่ปุ่น จึงทำให้มีความปลอดภัยสูงกว่า Filler ทั่วไปที่ใช้ Pathogenic bacteria นำมาใช้ฉีดเข้าร่างกายได้อย่างปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดพิษ หรือเรียกได้ว่าเป็น Organic HA
  • PEG (polyethylene glycol)
    ใช้ PEG มาเป็น cross link ให้กับ HA โดยใช้กระบวนการผลิตที่เรียกว่า PEGlylation ผ่านเทคโนโลยีที่เรียกว่า SMART XROSS LINK Technology ( SXT ) โดยเทคโนโลยีนี้เลือกใช้สาร PEG เป็นสารชีวโมเลกุล ซึ่งมีคุณสมบัติคือ มีความปลอดภัยสูง ไม่เป็นพิษ ไม่กระตุ้นภูมิคุ้มกัน มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ
    จึงนิยมใช้ผลิตเป็นยา รวมทั้งยารักษาโรคมะเร็งด้วย ซึ่งในสาร PEG นี้ยังประกอบไปด้วย กรดอะมิโน
    Glycine L- Prolene ป้องกันไม่ให้เกิดการบวมเพราะเป็นสารไม่ดูดน้ำ และทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นดีขึ้น
    ที่สำคัญทนความร้อน***
  • CaHA (calcium hydroxyapatite)
    ทำหน้าที่เป็นสาร biostimulator กระตุ้นการทำงานของเซลล์ fibroblast ให้สร้างคอลลาเจนtype III ซึ่งเป็นคอลลาเจนที่เกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ ไม่ได้เกิดจากกระบวนการอักเสบจึงไม่ก่อให้เกิดปัญหา granduloma และ
    เมื่อมีการสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้นจะทำให้ชั้นผิวหนังหนาตัว และมีความยืดหยุ่นที่ดีขึ้น ช่วยให้ผิวเด้ง อิ่มฟูและแก้ปัญหาริ้วรอยตื้น ๆ ได้

Hybrid Filler เข้ามาในประเทศไทยตอนนี้ถึง 3 รุ่น

ซึ่งทุกรุ่นมี HA เข้มข้นสูงสุดในท้องตลาด จึงทำให้เติมเต็มได้มากกว่า ประหยัดยาในการฉีด ผลที่ได้อยู่ยาวนาน

  • รุ่น Intense มี HA 28% สูงกว่ายี่ห้ออื่น มากที่สุดตอนนี้ มีไว้ใช้ฉีดขึ้นโครงหน้า ปรับรูปหน้า เสริมคาง เสริมสันจมูก แนวกราม jawline และฉีดลิฟติ้ง
  • รุ่น Stimulate มี HA 26% มี CaHA 1%โมเลกุลเล็ก รูปร่างกลมจึงไม่บวม ไม่แพ้ เป็น biostimulator กระตุ้นการสร้าง collagen type III ช่วยให้ผิวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังฉีด
  •  รุ่น Hydro Deluxe มี HA18% เป็นฟิลเลอร์งานผิวที่มี HA มากที่สุดในตอนนี้ ซึ่งใช้ PEG Technology จึงไม่บวมและมี CaHA กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวเพิ่มความเด้งและอิ่มฟูต่อไปอย่างต่อเนื่อง ไม่เหมือนฟิลเลอร์งานผิวยี่ห้ออื่น

ข้อดีของ Hybrid Filler

1. เติมเต็มพร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ในขั้นตอนเดียว

2. ไม่มีอาการบวมหลังฉีด ใครเคยฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมๆยุบๆ เมื่อร่างกายอ่อนแอ
ภูมิตกหรือทานอาหารแสลงมาลองเปลี่ยนเป็น Hybrid filler ช่วยได้

3. ไม่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ลดอาการอักเสบ ลดอาการแพ้

4. ทนความร้อน หากต้องการฉีดร่วมกับทำเลเซอร์หรือ energy base devices ต่าง ๆ
สามารถทำได้ใน session เดียวกัน

5. มี CaHA เป็นสาร biostimulator กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ต่อเนื่องหลังจากที่ฟิลเลอร์สลายแล้ว

ใครบ้างไม่ควรใช้ไวอากร้า ?

ใครบ้างไม่ควรใช้ไวอากร้า

1.แพ้ยา 

ผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ยานี้หรือส่วนประกอบอื่นๆในตำรับยา

2.มีโรคประจำตัว

ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ สมองขาดเลือด (Stroke) หรือมีปัญหาเรื่องความดันโลหิตต่ำ

3.การมองเห็นลดลง

ผู้ที่เคยมีประวัติการมองเห็นลดลงหรือสูญเสีย การมองเห็น ให้แจ้งแพทย์               ก่อนเริ่มกินยา

4.ให้ยาขยายหลอดเลือดกลุ่มไนเตรด

ผู้ที่เป็นโรคหัวใจที่ใช้ยาขยายหลอดเลือดกลุ่มในเตรดที่ส่วนใหญ่ใช้บรรเทาอาการเจ็บหน้าอกเนื่องจากเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่พอ เช่น Nitroglycerine, Isosorbide Mononitrate, Isosorbide dinitrate อาจทำให้ความดันโลหิตต่ำจนถึงแก่ชีวิตได้

5.อายุต่ำกว่า 18 ปีและผู้หญิง

ไม่มีข้อบ่งใช้ในผู้ที่อายุน้อยกว่า 18 ปีและไม่มีข้อบ่งใช้ในเพศหญิง

ประโยนช์ของ Sleeping Naked

ประโยนช์ของ Sleeping Naked หรือ การนอนแก้ผ้า

‌1.นอนหลับได้รวดเร็ว

ประโยชน์ข้อแรกของการ Sleeping Naked คือการช่วย

ให้นอนหลับหรือเข้าสู่วงจรการนอนหลับ ได้เร็วยิ่งขึ้น

ซึ่งการ Sleeping Naked จะช่วยให้ร่างกายปรับอุณหภูมิ

ลดลงจนถึงจุดที่เหมาะสมได้เร็วกว่าการนอนแบบใส่เสื้อผ้า

ร่างกายจึงการเข้าสู้ภาวะหลับเร็วขึ้น

Tip: เลิกใช้งานสมาร์ตโฟน แล็ปท็อปและทีวีก่อนเวลาเข้า

นอนอย่างน้อย 40 นาทีจะช่วยให้นอนหลับได้เร็วขึ้น

2.การแก้ผ้านอนช่วยลดความเครียด

ต่อมาของ Sleeping Naked คือช่วยให้เราจัดการอารมณ์

ระหว่างวันได้ดีขึ้นจากการนอนที่มีคุณภาพ การนอนหลับมีผล

โดยตรงกับระดับความเครียด การนอนไม่หลับหรือนอนหลับยาก

ส่งผลต่ออารมณ์ระหว่างวันจริง การแก้ผ้านอนจะช่วยกระตุ้น

ให้ร่างกายเข้าสู่วงจรการนอนหลับได้เร็วขึ้นและยังรักษาวงจร

การหลับได้ยาวนานกว่า ผลที่ตามมาคือคุณภาพการนอนหลับ

ที่ดีขึ้น ซึ่งจะดีที่สุดถ้าเราสามารถรักษาระยะเวลาในการพักผ่อน

ให้เพียงพอระหว่าง 7-9 ชั่วโมง/คืน

Tip: การออกกำลังในช่วงบ่ายหรือเย็นของวันยังช่วยในการลด

ความเครียดได้ดี รวมถึงการยืดเส้นสายเพื่อคลายกล้ามเนื้อก็ช่วย

ให้หลับได้

3.สร้างความมั่นใจให้ตัวเอง

การนอนเปลือยกายช่วยเพิ่มความมั่นใจและนับถือตัวเองให้มากขึ้น

รวมถึงมีส่วนช่วยลดความรู้สึกไม่พึงพอใจที่มีต่อร่างกายของตัวเอง

ให้น้อยลง จากความคุ้นชินที่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

ตัวเองในทุก ๆ คืน

Tip: อย่าลืมเพิ่มความมั่นใจและให้กำลังใจตัวเองง่าย ๆ ด้วย

การพูดคุยกับตัวเองถึงเรื่องที่ทำตามเป้าหมายสำเร็จในแต่ละวัน

ซึ่งจะทำให้เราเคารพและมั่นใจในตัวเองเพิ่มมากขึ้น

4.ช่วยคุมน้ำหนัก

การนอนหลับส่งผลโดยตรงกับระดับน้ำหนักของมนุษย์

อาการนอนไม่หลับมีส่วนสำคัญต่อการเพิ่มของน้ำหนัก

รวมไปถึงคนที่นอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมง/วัน ก็มีความเสี่ยง

ที่จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่การ Sleeping Naked

จะสร้างวงจรการนอนหลับที่เร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่า

ขณะเดียวกันอุณหภูมิร่างกายที่ต่ำยังช่วยให้ร่างกาย

เผาผลาญพลังงานได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นตลอดช่วงเวลา

ที่เราหลับอยู่

Tip: สำหรับหนุ่ม ๆ ที่กังวลเรื่องน้ำหนักลองควบคุมเวลากิน

ให้อยู่ในกรอบ 10 ชั่วโมงต่อวันและไม่ควรทานอาหาร

อย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนเวลาเข้านอน

5.รักษาความแข็งแรงของอสุจิ

ในขณะที่ Sleeping Naked จะช่วยให้ถุงอัณฑะอยู่ในอุณหภูมิ

ที่เหมาะสมต่อการผลิตและเก็บรักษาอสุจิมากกว่า ประเภทของ

ชุดชั้นในที่ผู้ชายสวมใส่มีผลต่อจำนวนและความแข็งแรงของอสุจิ

โดยเฉพาะกางเกงในทรงรัดรูปมีโอกาสทำให้น้องชายของเรา

ถูกห่อหุ้มด้วยอุณหภูมิที่สูงเกินไป จนสามารถทำลายอสุจิ

และลดความแข็งแรงของอสุจิได้

อย่างไรก็ตามสำหรับการแก้ผ้าเข้านอน ยังสร้างคุณภาพ

การนอนที่ดีขึ้น เพราะนอกจากจะให้การหลับใหลแบบ

สบายตัวแล้ว ยังได้ช่วยให้สุขภาพกายและจิตใจของเรา

ได้รับการดูแลที่ดีขึ้นตามไปด้วย

วิธีการรักษาฮอร์เพศชายบำบัดมีอะไรบ้าง ?

วิธีการรักษาฮอร์เพศชายบำบัด TESTOSTERONE
มีอะไรบ้าง ? แตกต่างการอย่างไร ?

1.ฉีด M Shot Testosterone เป็นการฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อโดยตรง
ข้อดี
– ประสิทธิ์ภาพสูง
– เห็นผลลัพธ์ได้เร็ว
– สามารถปรับขนาดยา สูง-ต่ำ และปริมาณมากน้อยได้ง่าย


ข้อเสีย
– อาจมีอาการปวดบริเวณที่ฉีด
– จำเป็นต้องฉีเหลายครั้ง
– ต้องทำโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ

2.กิน ผลิตภัณฑ์รูปแบบอาหารเสริม

ข้อดี
– สะดวกสบาย
– รับประทานง่าย
– ไม่เจ็บตัว

 

ข้อเสีย
– ต้องรับประทานเป้นประจำ
– อาจมีผลข้างเคียงต่อตับ

3.ทา รูปแบบเจลทาบนร่างกาย

ข้อดี
– ใช้งานได้ง่าย
– ไม่เจ็บตัว
– สามารถทาเองได้


ข้อเสีย
– ประสิทธิภาพต่ำ
– หลุดออกได้ง่าย
– ต้องรอให้แห้งก่อนถึงสวมใสเสื้อผ้าได้

4.แปะ รูปแบบแผ่นแปะบริเวณแขน หรือร่างกาย

ข้อดี
– ใช้งานได้ง่าย
– ไม่เจ็บตัว
– สามารถแปะเองได้


ข้อเสีย
– ประสิทธิภาพต่ำ
– อาจระคายเคืองผิวหนัง

Scrotox การฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน ลูกอัณฑะ

โบทูลินั่ม ท็อกซิน / Bo-Tox ( Botulinum Toxin )

โดยตามความเข้าใจของคนส่วนใหญ่นั้นสามารถฉีดรักษาได้ที่ใบหน้า  ลำตัว  ฝ่ามือ หรือรักแร้  แต่คุณอาจไม่เคยรู้มีอีก 1 ตำแหน่งใหม่มาแรง ที่ ณ ปัจจุบันนิยมฉีดกันในผู้ชาย ก็คือตรง “ อัณฑะ ” นั่นเอง
การฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน ลูกอัณฑะ ( Scrotox / Balltox / Scrotal botox ) ได้รับความนิยมแพร่หลายมาตั้งแต่ปี  2560 ในต่างประเทศ

ประโยชน์ของการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน ลูกอัณฑะ ( Scrotox )

1. แก้ปวดอัณฑะ : ในอาการปวดอัณฑะเรื้อรังที่ฉีดยาชาแล้วทุเลา แต่ยาชามันหมดฤทธิ์ไว จะได้เปลี่ยนเป็นฉีดแล้วหายปวดไปหลายเดือนค่อยมาฉีดใหม่
2. ลดเหงื่อที่อัณฑะ : ในคนที่เหงื่อออกที่อัณฑะมากๆ hyperhidrosis ก็อาจจะฉีดเพื่อลดเหงื่อตรงอัณฑะ
3. ลดริ้วรอยร่องลึกของอัณฑะ : ให้ได้อัณฑะที่ดูเต่งตึง ทำให้ไม่มีริ้วรอยร่องลึกเหี่ยวย่น
4. อัณฑะดูใหญ่ขึ้น : การฉีดไปทำให้กล้ามเนื้อรอบอัณฑะคลายตัว ทำให้ดูใหญ่และยานขึ้น

การฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซินในลูกอัณฑะ ( Scrotox ) นั้นจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูง เพราะเป็นอวัยวะสำคัญ หากฉีดไม่ถูกวิธีจะเกิดอันตรายได้ง่าย สำหรับใครที่สนใจการฉีดการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซินในลูกอัณฑะ ( Scrotox ) สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่ M CLINIC ได้เลย  เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา และดูแลทุกท่านอยู่ครับ

Testosterone ฮอร์โมนแห่งความเป็นชาย

Testosterone ฮอร์โมนแห่งความเป็นชาย

เทสโทสเตอโรน คือ ฮอร์โมนเพศชาย
ที่ร่างกายสามารถสร้างได้เอง
จากอัณฑะตั้งแต่กำเนิด
มีการผลิตสูงสุดเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น
และลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนปลาย

จากงานวิจัยพบว่าเมื่อคุณผู้ชาย
อายุตั้งแต่ 40 ปี ขึ้นไป
เทสโทสเตอโรนจะลดลงอย่างน้อยปีละ 1%
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อร่างกาย และจิตใจ เช่น

– สมรรถภาพทางเพศลดลง
– อ้วนลงพุง
– กล้ามเนื้อฝ่อลีบ
– อ่อนเพลียง่าย
– ประสิทธิภาพในการนอนลดลง
– ขาดแรงจูงใจ
– สมาธิสั้นลด

อาการและอาการแสดงดังกล่าว
ถือได้ว่าเป็นสัญญาณเตือน
ของภาวะเทสโทสเตอโรนในร่างกายต่ำกว่าปกติ
(ค่าปกติในเพศชาย 300-1,000 นาโนกรัมต่อเดซิลิตร)
จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ที่จะต้องเข้าปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
เพื่อการวินิจฉัย และการรักษาที่ถูกต้อง

ขั้นตอนการรักษาที่เอ็มคลินิก

1. เข้าปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
เพื่อประเมินอาการ และความรุนแรงเบื้องต้น
2. ตรวจวัดระดับฮอร์โมนในกระแสเลือด
3. แจ้งผลการตรวจเลือด (ภายใน 24 ชั่วโมง)
4. พบแพทย์และวางแผนแนวทางการรักษาติดตามประเมินอาการอย่างต่อเนื่อง


 

ฮอร์โมนเพศชายทดแทน

โปรแกรมเสริมฮอร์โมนเพศชายที่ M Clinic ตัวยาผ่านการรับรองจาก Thai FDA (อย.)

ปัจจุบันทางการแพทย์ฮอร์โมนเพศชายทดแทนมีอยู่หลากหลายวิธี

ได้แก่ กิน ทา และฉีด
ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อบ่งชี้ ข้อดี
และผลข้างเคียงที่แตกต่างกันออกไป
แพทย์จะให้คำแนะนำและตัดสินใจการรักษาร่วมกับผู้รับบริการ

1. กิน
ข้อดี สะดวก ประหยัด
ข้อเสีย ส่งผลเสียต่อตับ ได้ผลช้า ต้องมีระเบียบในการรับประทาน

2. ทา
ข้อดี สะดวก
ข้อเสีย ทาทุกวันและต้องรอให้แห้งก่อนใส่เสื้อผ้า

3. ฉีด
ข้อดี ยาออกฤทธิ์ได้ทันที สามารถปรับขนาดยาขึ้นลงได้ ระดับฮอร์โมนไม่เหวี่ยง
ข้อเสีย เจ็บขณะฉีดในระดับที่ทนได้

 

คำถามที่พบบ่อย

1. ไม่มีภาวะเทสโทสเตอโรนในร่างกายต่ำสามารถฉีดเทสโทสเตอโรนได้ไหม?
ตอบ ได้ครับ เพราะนอกจากเทสโทสเตอโรนจะรักษาภาวะดังกล่าวแล้ว
ยังส่งผลดีต่อการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
กล้ามเนื้อเห็นชัดมากขึ้น และรู้สึกระฉับกระเฉง

2. จำเป็นต้องตรวจวัดระดับเทสโทสเตอโรนในเลือดหรือไม่?
ตอบ จำเป็นครับ แพทย์จะส่งตรวจ ระดับเทสโทสเตอโรน (Testosterone)
ค่าความเข้มข้นของเลือด (Hematocrit)
ลูติไนซิ่งฮอร์โมน (Luteinizing hormone)
และค่าเอมไซต่อมลูกหมาก (PSA) เพื่อประเมินระดับความรุนแรง
และผลการรักษาที่แม่นยำ

3. ต้องตรวจวัดระดับเทสโทสเตอโรนในเลือดบ่อยแค่ไหน?
ตอบ ควรตรวจวัดทุก 3-6 เดือน เพื่อประเมินผลและปรับแผนการรักษา

4. ความถี่ของการฉีด
ตอบ เฉลี่ยทุก 1 สัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับของเทสโทสเตอโรน
ในเลือดของผู้รับบริการแต่ละคน ซึ่งไม่เท่ากันดังนั้นแพทย์
จะเป็นผู้วางแผนการรักษา

5. ผลข้างเคียงของเทสโทสเตอโรน
ตอบ อาการปวดบวมแดงบริเวณที่ฉีด สิวขึ้น ภาวะซึมเศร้า หรืออาการแพ้รุนแรง
ดังนั้นต้องได้รับการฉีดและติดตามอาการโดยแพทย์
เอ็มคลินิกเลือกใช้เทสโทสเตอโรนที่ได้รับการรับรองโดย อย.ไทย
ได้มาตรฐานสากล ซึ่งเป็นชนิดที่ออกฤทธิ์ทันที ผลข้างเคียงน้อย
ร่วมกับแพทย์เป็นผู้ดูแลผู้รับบริการด้วยตนเองทุกเคส

7 สัญญาณวัยทองในเพศชาย

Check Lists ที่ต้องสังเกต ใครว่าผู้ชายเป็นวัยทองไม่ได้ ?!
โปรดระวัง! หากคุณมีพฤติกรรมเหล่านี้


วัยทองในผู้ชายไม่ใช่เรื่องแปลก ผู้ชายที่มีอายุตั้งแต่ 40 – 65 ปี ที่เข้าสู่การเปลี่ยนแปลงของระบบสืบพันธุ์ ร่างกายเริ่มเสื่อมถอย การทำงานของอวัยวะและฮอร์โมนต่างๆ ลดถอยลง ทำให้ผู้ชายบางคนเกิดโรคหรือมีสภาวะ ผิดปกติทั้งร่างกาย จิตใจ อาการจะพบมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการดูแลสุขภาพของแต่ละบุคคล

 

การวินิจฉัยตนเองว่า “วัยทอง”
มาเยือนหรือยังไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก เพียงคุณสังเกตว่าตัวคุณมีอาการเหล่านี้หรือไม่ ?

  • นอนไม่หลับ
  • มีอาการซึมเศร้า
  • ผมบาง
  • เหนื่อยง่าย ไม่กระฉับกระเฉง
  • อวัยวะเพศไม่แข็งตัว
  • อ้วนลงพุง
  • กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง
รับมือวัยทองในผู้ชายอย่างถูกวิธี

1.ออกกำลังกาย

ควรเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ เช่น แขน ขา ลำตัว เป็นจังหวะซ้ำกันต่อเนื่อง โดยออกแรงปานกลาง ใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาทีต่อเนื่อง หรือสะสมครั้งละ 10 นาที พยายามทำทุกวันหรือเกือบทุกวัน

2.รับประทานอาหารที่ช่วยฟื้นฟูและบำรุงสุขภาพทางเพศ และมีความหลากหลาย

เช่น กรดอะมิโน L-arginine มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศได้เพิ่มขึ้น พบในเนื้อสัตว์ ส่วนที่เป็นเนื้อแดง สัตว์ปีก ทูน่า ปลาแซลมอน กุ้ง ปู พืชตระกูลถั่ว ผักโขม ไข่แดง เป็นต้น ธาตุสังกะสี Zinc มีบทบาทสำคัญในการบำรุงสุขภาพทางเพศ ช่วยสร้างฮอร์โมนเพศชายและอสุจิ บำรุงต่อมลูกหมาก พบได้ใน หอยนางรม จมูกข้าว งา เนื้อสัตว์ ตับ ช็อคโกแลต เมล็ดแตงโม ถั่วต่างๆ และนอกจากนี้ยังมี วิตามินและสารอาหารอีกหลายชนิด เช่น วิตามินบี วิตามินซี ธาตุโครเมี่ยม โฟลิก หรือสมุนไพรต่าง ๆ เช่น ใบแปะก๊วย โสมเกาหลี ซึ่งในอาหารหลายชนิดประกอบไปด้วยสารอาหารที่สามารถช่วยบำรุงสุขภาพทางเพศได้

3.รักษาด้วยการฉีดฮอร์โมนเสริม

สำหรับการรักษาด้วยฮอร์โมน (Hormonal replacement therapy) ต้องได้รับการประเมินและการรักษาภายใต้ความดูแลของแพทย์เท่านั้น จะได้ผลที่ดีและไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย และจำเป็นต้องใช้ฮอร์โมน Testosterone ที่ผ่านการรับรองโดย อย.ไทย หรือ FDA ที่ได้มาตรฐานสากล ซึ่งเป็นชนิดที่ออกฤทธิ์ทันที ผลข้างเคียงน้อยที่สุด

แนะแนวเรื่อง