กินยาปลูกผมแล้วน้องชายไม่แข็ง

เคยได้ยินว่ากินยาปลูกผมแล้วน้องชายไม่แข็งจริงหรือเปล่า?

#มาดูคำตอบกัน!
จริงๆ แล้ว ยาปลูกผมบางชนิด เช่น Finasteride หรือ Dutasteride ที่มักถูกใช้เพื่อรักษาผมร่วงจากกรรมพันธุ์ อาจส่งผลต่อระดับฮอร์โมนเพศชาย (DHT) ซึ่งเป็นสาเหตุให้บางคนมีปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ หรืออาการที่เรียกว่า “นกเขาไม่ขัน” ได้ 💡

 

แต่อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงนี้พบได้ในคนส่วนน้อยเท่านั้น ซึ่งอาจเกิดขึ้นชั่วคราวและหายได้เมื่อหยุดใช้ยา อีกทั้งไม่ใช่ทุกคนจะได้รับผลกระทบนี้ เพราะร่างกายของแต่ละคนตอบสนองต่อยาแตกต่างกันไป

#ไม่ต้องกังวล! ⭐️

ที่ M Clinic เรามีวิธีช่วยฟื้นฟูและเพิ่มประสิทธิภาพด้วยการรักษา M Focused Shockwave Therapy คือการรักษาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหลอดเลือดและการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะเพศ ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาการแข็งตัวได้ ปลอดภัย ไม่ต้องพึ่งพายา

 

ทำร่วมกับ MPE (M Penile Enhancement) ช่วยเพิ่มขนาดอวัยวะเพศด้วยเซลล์ของตัวเองอย่างปลอดภัย ไม่มีสารแปลกปลอม ไม่ต้องพักฟื้นนาน ช่วยเสริมความมั่นใจและสุขภาพทางเพศภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้มีประสบการณ์👨‍⚕️Ⓜ️

Magnesium คืออะไร ?

Magnesium คืออะไร ?

                  แมกนีเซียม (Magnesium) เป็นแร่ธาตุที่สำคัญตัวหนึ่งของร่างกาย แต่ไม่ค่อยไม่ใครรู้คุณสมบัติที่แท้จริงของมัน ซึ่งแท้จริงแล้วแมกนีเซียมมีความสำคัญมากต่อกระบวนการต่างๆ ในร่างกาย ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพแมกนีเซียม เป็นเสมือนโรงงานไฟฟ้าของเซลล์ เพราะหน้าที่หลัก ๆ คือ การช่วยเพิ่มพลังงาน การทำงานของเอนไซม์ต่างๆในร่างกาย และช่วยในการรักษาสมดุลของแร่ธาตุในเซลล์

                 ต่อไปเรามาทำความรู้จักหน้าที่ของแมกนีเซียมกันต่อเลย จะได้รู้ว่ามันสำคัญมากและถ้าหากเราขาดไปจะมีอาการเช่นไร

1. ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
– แมกนีเซียมมีความสำคัญในการหดตัวของกล้ามเนื้อและการส่งสัญญาณประสาทในระดับเซลล์ ช่วยป้องกันกล้ามเนื้อหดเกร็ง ป้องกันการเกิดตะคริว และการชักกระตุก
– แมกนีเซียมช่วยให้ระบบประสาททำงานปกติ และช่วยลดความตึงเครียดของงกล้ามเนื้อ


2. ช่วยเสริมสร้างกระดูก
– แมกนีเซียมทำงานร่วมกับแร่ธาตุแคลเซียม ช่วยในการเสริมสร้างกระดูก ป้องกันการสลายกระดูกและป้องกันไม่ให้เกิดโรคกระดูกพรุน


3. ระบบหัวใจและหลอดเลือด
– แมกนีเซียมมีช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจ ป้องการการเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะ ลดความดันโลหิตและลดความเสี่ยงของหัวใจและหลอดเลือดได้


4. ช่วยในการสร้างพลังงาน
– แมกนีเซียมมีบทบาทสำคัญในการผลิตพลังงานของเซลล์ หรือผลิตแบตเตอรี่ให้กับเซลล์ที่มีชื่อว่า ATP(adenosine triphosphate ) นั่นเอง และATP นี้เองเป็นเหมือนแหล่งพลังงานที่ส่งต่อให้เซลล์ไปใช้ในการกระตุ้นกระบวนการต่างๆ มากกว่า 300 กระบวนการในร่างกาย รวมถึงการควบคุมกล้ามเนื้อ ระบบประสาท กระดูก หัวใจและเมตาบอลิซึม


5. ควบคุมการทำงานของเอนไซม์
– แมกนีเซียมควบคุมการทำงานของเอนไซม์มากมายที่เกี่ยวข้องการสังเคราะห์พลังงาน การเผาพลาญอาหารเพื่อมาเป็นพลังงานของร่างกาย


6. สร้างความสมดุลของแร่ธาตุ
– แมกนีเซียมช่วยสร้างความสมดุลของแร่ธาตุต่างๆ ในร่างกาย โดยทำงานร่วมกับ โพแทสเซียม และแคลเซียม ในการควบคุมกระแสไฟฟ้าในร่างกาย รวมทั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อ


7. ช่วยการนอนหลับ
– แมกนีเซียมมีบทบาทช่วยควบคุมสารสื่อประสาทที่ช่วยผ่อนคลาย ช่วยในการนอนหลับ และกระตุ้นให้มีการหลั่งสารเมลาโทนิน ทำให้การหลับมีคุณภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งลดความเครียดและลดความวิตกกังวลได้ จึงทำให้จิตใจสงบยิ่งขึ้น


8. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
– แมกนีเซียมมีส่วนสำคัญในการผลิตและการใช้ฮอร์โมนอินซูลินที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการนำน้ำตาลในกระแสเลือดมาใช้เป็นพลังงานในเซลล์ ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติและป้องกันเบาหวานชนิดที่ 2


9. ลดการอักเสบในร่างกาย
– แมกนีเซียมช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้ ช่วยให้โรคต่างๆ ที่มีการอักเสบและช่วยลดอาการป่วยเรื้อรังได้ และมีส่วนเพิ่มการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ(anti-oxidation) ลดการทำลายของสารอนุมูลอิสระได้(oxidation)


10. ลดปวดศีรษะจากไมเกรน
– มีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่าแมกนีเซียมสามารถลดความถี่และความรุนแรงของการปวดศีรษะจากไมเกรนได้ เนื่องจากแมกนีเซียมมีส่วนควบคุมการทำงานของระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับไมเกรน


ดังนั้นนอกจากแมกนีเซียม มีความสำคัญเป็นโรงงานไฟฟ้าของเซลล์ ยังมีส่วนช่วยในการควบคุมการทำงานและรักษาสมดุลของกระบวนต่างๆในร่างกาย แมกนีเซียมจึงทำหน้าที่เป็นผู้จัดการและคอยประสานงานทำให้กระบวนการทำงานของร่างกายเป็นไปอย่างราบรื่น

ALA สารต้านอนุมูลอิสระครอบจักรวาล

✨ ALA สารต้านอนุมูลอิสระครอบจักรวาล 🚀

ALA (Alpha-Lipoic Acid) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบได้ในร่างกายและอาหารบางชนิด เช่น ผักโขม บรอกโคลี และเนื้อสัตว์ มีบทบาทในการเปลี่ยนกลูโคสเป็นพลังงานและปกป้องเซลล์จากความเสียหาย ALA ยังช่วยเสริมการทำงานของวิตามิน C และ E และมักใช้รักษาโรคที่เกี่ยวกับเส้นประสาท เช่น Diabetic Neuropathy และช่วยลดการอักเสบ

ข้อดีของ  ALA  ? 

กระตุ้นการทำงานของวิตามิน: ช่วยให้วิตามินที่เรารับประทานสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น

ต้านการอักเสบ: ลดการอักเสบที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ทำให้เซลล์ในร่างกายแข็งแรงขึ้น

ล้างสารพิษ: ขับสารพิษออกจากร่างกาย โดยเฉพาะโลหะหนักที่เป็นอันตราย

ควบคุมระดับน้ำตาล: ช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้สุขภาพดีและสมดุล

ชะลอความอ่อนวัย: ALA ช่วยให้คุณดูอ่อนวัยกว่าเดิม ด้วยการปกป้องเซลล์จากความเสื่อม

ป้องกันโรคเรื้อรัง: ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคเรื้อรังและปกป้องร่างกายจากความเสียหายต่างๆ

นอกจากการรับประทานวิตามินแล้ว การ IV Drip เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพ M Clinic ของเรามีบริการ IV Drip ที่ปลอดภัยและมีคุณภาพสูง สามารถเข้ามาปรึกษาได้เลยครับ ! 💉✨

ฉีด BOTOX คล้ายกล้ามเนื้อ(น้องชาย)

ฉีด BOTOX คล้ายกล้ามเนื้อ(น้องชาย) ช่วยให้แข็งตัวดีขึ้นจริงหรอ ?

ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศเป็นภาวะที่พบบ่อยในผู้ชายทุกวัย การไม่สามารถบรรลุเป้าหมานและรักษาการแข็งตัวของอวัยวะเพศได้ มีอิทธิพลอย่างมากต่อความมั่นใจในตนเองและส่งผลโดยตรงต่อความสัมพันธ์ทางเพศ

BoCox™ คืออะไร?

BoCox™ สำหรับการรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศเป็นหัตถการการรักษาที่ช่วยให้ผู้ชายแข็งตัวได้ดีขึ้น
ซึ่งผสมผสานพลังของการบำบัดด้วย Botox และ Platelet-Rich Plasma (PRP) วิธีการที่เป็นนวัตกรรมใหม่นี้ ไม่จำเป็นต้องมีการผ่าตัดหรือการดมยาสลบ ทำให้เป็นทางเลือกการรักษาที่ไม่ดูน่ากลัวจนเกินไป สำหรับคนไข้ที่ต้องการ การปรับสมดุล รักษาสมรรถภาพทางเพศโดยไม่มีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัด
โดยการฉีด Botox ร่วมกับ PRP เข้าไปในกล้ามเนื้อที่ควบคุมการไหลเวียนของเลือดเข้าสู่อวัยวะเพศชาย ตำแหน่ง Corpus Cavernosum จะผ่อนคลายและเรียบเนียนของกล้ามเนื้อทำให้เลือดไหลเวียนไปยังอวัยวะเพศชายได้ดีขึ้นมาก ทำให่การแข็งตัวของอวัยวะเพศดีขึ้นได้ ส่งผลต่อความสมดุลระหว่างระบบประสาท ซิมพาเทติก (sympathetic) และพาราซิมพาเทติก (parasympathetic) ภายในอวัยวะเพศชาย เป็นการแก้ไขที่ต้นเหตุ ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศได้ดีมากขึ้น

BoCox™ เหมาะกับใคร

* คนที่มีปัญหานกเขาไม่ขัน น้องชายไม่สู้ ไม่เคาพธงชาติ
* หย่อนสมรรถภาพ ล่มปากอ่าว
* อ่อนตัวเร็ว แข็งตัวได้ไม่เต็มที่
การฉีด BOTOX(น้องชาย) aka BoCox™ ไม่เพียงแต่ผ่อนคลายกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่ช่วยรักษาปัญหาเสื่อมสรรมภาพทางเพศ การไหลเวียนของเลือดที่สูบฉีดไปที่อวัยวะเพศดีขึ้น และแม้แต่เพิ่มความมั่นใจในตนเองอีกด้วย

ผลข้างเคียงจากการใช้ Testosterone

ผลข้างเคียงจากการใช้ Testosteron

1. สิว : สาเหตุที่ทำให้เกิดสิวจาก Testosterone เนื่องจาก Testosterone ที่ได้รับเข้าไปจะไปกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมันในผิว ให้ผลิตน้ำมันมากขึ้น และอุดตันในรูขุมขนเกิดเป็นสิวอุดตันและสิวอักเสบ นอกจากนี้สิวยังเกิดได้จากความไม่สมดุลของฮอร์โมนและการอักเสบภายในร่างกายจากใช้ฮอร์โมนได้อีกด้วย
2. ผมร่วง : Testosterone สามารถเปลี่ยนเป็นฮอร์โมน DHT ได้จากเอ็นไซม์ 5-alpha reductase หากใครที่มีเอ็นไซม์นี้มาก อันเนื่องมาจากกรรมพันธุ์หรือใช้ Testosterone ปริมาณมากและระยะเวลานาน จะทำให้ฮอร์โมน DHT สูงขึ้น ส่งผลให้รูขุมขนที่ไวต่อฮอร์โมนDHT หดตัว ทำให้เส้นผมบางลงและหลุดร่วง โดยเฉพาะบริเวณด้านบนและด้านหน้าในชายที่มีแนวโน้มผมร่วงตามกรรมพันธุ์
3. เลือดข้น : จำนวนเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นทำให้เลือดหนืด เลือดข้น หรือภาวะ Polycythemia ซึ่งอาจทำเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน และมีผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากจำนวนเม็ดเลือดแดงหนาแน่น ไม่มีผิวสัมผัสเพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซและเลือดไหลเวียนได้ไม่ดี อาการเริ่มแรกอาจมีวิงเวียนศีรษะหน้ามืดได้ และอาจเกิดการภาวะลิ่มเลือด เส้นเลือดอุดตัน หรือถึงขั้นอัมพาตได้
4. มีเต้านม : การเพิ่มขึ้นของเนื้อเยื่อเต้านมในผู้ชาย หรือภาวะ Gynecomastia เกิดเนื่องจากการเปลี่ยนเทสโทสเตอโรนเป็นเอสโตรเจนกระตุ้นให้เกิดการเจริญเติบโตของเต้านม อีกทั้งภาวะนี้อาจเกิดได้กับผู้ที่ใช้ anabolic steroid, ยาต้านแอนโดรเจน, แอลกอฮอล์และสารเสพย์ติดบางชนิด และโรคตับแข็ง โรคไตและไธรอยด์ ได้อีกด้วย
5. อารมณ์เปลี่ยนแปลง : อาจเป็นได้ทั้งอารมณ์หงุดหงิดง่ายหรือซึมเศร้าก็ได้ Testosterone เป็นฮอร์โมนที่แสดงความเป็นชาย นอกจากจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เช่น เพิ่มกล้าม สร้างกล้ามเนื้อ ยังมีผลต่อจิตใจด้วย จึงทำให้มีอารมณ์อารมณ์รุนแรง ฉุนเฉี่ยว และหงุดหงิดง่าย หรือหากฮอร์โมนไม่สมดุลหรือช่วงที่อยู่ในระยะหยุดยาอาจเกิดการซึมเศร้าได้ เรียกว่าภาวะ “Testosterone Withdrawal”เกิดได้จากระดับเทสโทสเตอโรนในเลือดขณะใช้ฮอร์โมนเสริมมีระดับสูงเมื่อหยุดใช้ทันทีจะมีระดับลดลงเร็วเกินไป นำไปสู่อาการซึมเศร้า อ่อนล้า และความไม่สบายทางใจ
6. เป็นหมัน : การใช้ Testosterone เสริม สามารถยับยั้งการหลั่ง GnRH (Gonadotropin-Releasing Hormone) จากต่อมใต้สมอง ทำให้ระดับ Luteinizing Hormone (LH) และ Follicle-Stimulating Hormone (FSH) ลดลง ทำให้การผลิต Testosterone ตามธรรมชาติและการสร้างสเปริ์มลดลง จึงทำให้ตัวอสุจิค่อยๆลดลงจนไม่สามารถมีบุตรได้ แต่การใช้ Testosterone ในระยะเวลาอันสั้น กระบวนการสร้างสเปริ์มจะกลับมาปกติได้ เมื่อหยุดใช้ Testosterone จากการฉีด ร่างกายจะกลับมาสร้าง Testosteroneได้เอง แต่ถ้าใช้ Testosterone เสริมเป็นเวลานาน อัณฑะจะไม่ถูกกระตุ้นเป็นเวลานานจึงทำให้อัณฑะฝ่อและเล็กลงจนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนและสเปริ์มได้ จึงอาจเป็นหมันถาวร
 

ไขข้อสงสัย! ฉีด Testosterone เสริมกล้ามตัวไหนเวิร์คที่สุด

ไขข้อสงสัย! ฉีด Testosterone เสริมกล้ามตัวไหนเวิร์คที่สุด

1. Testosterone Enanthate
– ระยะเวลาการออกฤทธิ์: ประมาณ 1-2 สัปดาห์
– การใช้งาน: ฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 1-2 สัปดาห์
– เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ออกกำลังกายสร้างกล้าม เพาะกาย หรือต้องการแข่งขันประกวด ที่ต้องการความรวดเร็ว หรือใช้รักษาระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนให้เหมาะสม เหมาะกับการใช้ในระยะกลาง และสามารถรับการฉีดยาบ่อยๆ ได้ ซึ่งปกติจะนัดทุก 1 สัปดาห์ เพื่อป้องกันฮอร์โมนสวิง
– ข้อดี: สามารถควบคุมระดับฮอร์โมนได้ดี มีข้อมูลการใช้มากมาย
– ข้อเสีย: ต้องฉีดยาทุก 1-2 สัปดาห์ ซึ่งอาจไม่สะดวกสำหรับบางคน
2. Testosterone Undecanoate
– ระยะเวลาการออกฤทธิ์: ประมาณ 10-14 สัปดาห์
– การใช้งาน: ฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 10-14 สัปดาห์
– เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการลดความถี่ในการฉีดยาและต้องการรักษาระดับฮอร์โมนในระยะยาว และไม่อยากมีผลข้างเคียงของการใช้ Testosterone มากนัก เช่น สิว ผมร่วง หน้ามัน อารมณ์สวิง หรืออาการปวดกล้ามเนื้อหลังฉีด เน้นรักษาอาการนอนหลับไม่ลึกจากฮอร์โมนต่ำ ไม่เร่งรีบในการเพิ่มกล้ามเนื้อ หรือมือใหม่อยากออกกำลังกายเพิ่มกล้ามเนื้อใช้ได้โดยปลอดภัย ผลข้างเคียงต่ำ ทำให้มีความทนทานออกกำลังกาย การยกน้ำหนักได้นานขึ้น โดยรวมในระยะยาวสามารถเพิ่มกล้ามเนื้อได้เช่นเดียวกัน โดยปกติจะนัดฉีดทุก 8-12 สัปดาห์
– ข้อดี: ระยะเวลาการออกฤทธิ์ยาวนาน ตัวยาจะค่อยๆปล่อยออกมา ลดความถี่ในการฉีดยา ลดผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ Testosterone ได้
– ข้อเสีย: ฉีดยาในปริมาณมากและราคาสูงกว่า
3. Testosterone Cypionate
– ระยะเวลาการออกฤทธิ์: ประมาณ 1-2 สัปดาห์
– การใช้งาน: ฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 1-2 สัปดาห์
– เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการรักษาระดับฮอร์โมนในระยะปานกลางและสะดวกกับการฉีดยาเป็นประจำ
– ข้อดี: มีระยะเวลาการออกฤทธิ์คล้ายกับ Testosterone Enanthate และสามารถควบคุมระดับฮอร์โมนได้ดี
– ข้อเสีย: ต้องฉีดยาทุก 1-2 สัปดาห์ และยังไม่มีตัวยาที่ผ่านการรับรองจาก อย.ไทย***
4. Testosterone Propionate
– ระยะเวลาการออกฤทธิ์: ประมาณ 2-3 วัน
– การใช้งาน: ฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 2-3 วัน
– เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการควบคุมระดับฮอร์โมนอย่างละเอียดและสามารถรับการฉีดยาบ่อยๆ ได้
– ข้อดี: ออกฤทธิ์เร็วและสามารถปรับระดับฮอร์โมนได้อย่างรวดเร็ว
– ข้อเสีย: ต้องฉีดยาบ่อยๆ ทุก 2-3 วัน และยังไม่มีตัวยาที่ผ่านการรับรองจาก อย.ไทย***
สรุป Testosterone แบบฉีดมีผ่านอย.ในประเทศไทย มี 2 ชนิด
1. Testosterone Enanthate(Test E) เช่น Testoviron250mg ฉีดทุก 1-2 สัปดาห์
2. Testosterone Undecanoate(Test U) เช่น Nabido1000mg ฉีดทุก 8-14 สัปดาห์
ส่วน Testosterone Cypionate(Test C) และ Testosterone Propionate(Test prop) ยังไม่มีข้อมูลจาก อย.

การฉีดฮอร์โมนเสริมสร้างกล้ามเนื้อ Testosterone VS Growth hormone

การฉีดฮอร์โมนเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
Testosterone VS Growth hormone

1. ฮอร์โมนที่ใช้เสริมสร้างกล้ามเนื้อในปัจจุบันมีใช้อยู่ 2 ตัว คือ
– เทสโทสเตอโรน (Testosterone) หรือฮอร์โมนเพศชายเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ที่สร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการโดยกระบวนการทางเคมี เพื่อเลียนแบบโครงสร้างและการทำงานของฮอร์โมนธรรมชาติ
– โกรทฮอร์โมน (Growth hormone, GH) : หรือฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโตเป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นโดยเทคโนโลยี DNA รีคอมบิแนนท์ โดยใช้แบคทีเรียหรือเซลล์สัตว์ที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้ผลิต Growth hormone ได้

2. การใช้ Growth Hormone ในประเทศไทยมีจำหน่ายอย่างถูกกฎหมายสำหรับการใช้ทางการแพทย์เท่านั้น เช่น การรักษาภาวะขาด GH ในเด็กและผู้ใหญ่ที่มีความจำเป็นทางการแพทย์ แต่การใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ เช่น การเสริมสร้างกล้ามเนื้อหรือการชะลอวัย อาจไม่ถูกต้องตามกฎหมาย การนำเข้าฮอร์โมนการเจริญเติบโตโดยไม่มีใบสั่งยาจากแพทย์ผิดกฎหมายและอาจถูกตรวจจับที่ด่านศุลกากรได้
– การใช้ GHในประเทศไทยต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์เฉพาะทางที่ได้รับการรับรองและมีความเชี่ยวชาญในด้านการใช้ฮอร์โมนนี้ เช่น แพทย์ต่อมไร้ท่อ (Endocrinologist) หรือแพทย์เวชศาสตร์การกีฬา (Sports Medicine Specialist) หากไม่ใช่แพทย์สองสาขานี้สั่งจ่าย อาจเสี่ยงต่อยาหิ้ว หรือ สารลอกเลียนแบบ อีกทั้งถ้าเก็บในอุณหภูมิไม่เหมาะสมจะเสื่อมสภาพ ถ้านำมาฉีดเข้าร่างกายอาจเป็นอันตรายได้

3. GH มีประโยชน์ในการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงของร่างกาย แต่มีผลกระทบต่อร่างกายดังนี้


– ทำให้เกิดการกักเก็บน้ำในร่างกาย ทำให้บวมตัวบวมได้ โดยเฉพาะข้อมือและขา
– ทำให้เกิดอาการปวดข้อและกล้ามเนื้อ อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะ carpal tunnel syndrome จะมีอาการปวดข้อมือและชาได้
– อาจก่อให้เกิดภาวะดื้ออินซูลินและเบาหวานได้
– เกิดการขยายตัวของอวัยวะภายใน เช่น หัวใจและตับ อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพรุนแรง
– เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็ง เช่นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เนื่องจากฮอร์โมนนี้กระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์
– เพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เพิ่มความดันโลหิตและเพิ่มความเสี่ยงต่อหัวใจล้มเหลวและปัญหาหลอดเลือดได้

ดูเหมือนว่าการใช้ Testosterone จะมีความปลอดภัยกว่า ในโพสต์ต่อไปจะกล่าวถึงการใช้ Testosterone บ้างครับ แต่โดยสรุปแล้วการใช้ฮอร์โมนเสริมควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด ถ้าชอบโพสต์นี้ฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะ#bodycam

Reference:
– [Mayo Clinic: Testosterone therapy: Potential benefits and risks as you age](https://www.mayoclinic.org/…/testost…/about/pac-20384685)
– [Harvard Health: The dilemma of male hormone therapy](https://www.health.harvard.edu/…/the-dilemma-of-male…)
– [WebMD: Growth Hormone](https://www.webmd.com/men/features/growth-hormone)

9 สุดยอดผลไม้ที่ช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ

ผู้ชายคนไหนอยากเพิ่มพลังทางเพศต้องอ่าน! 
9 สุดยอดผลไม้ที่ช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ

  • สตรอว์เบอร์รี่ 🍓 ช่วยลดความเสี่ยงของโรค เพิ่มความต้องการทางเพศ และเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกาย
  • แตงโม 🍉 มีซิทรูลีน ช่วยขยายหลอดเลือด บำรุงหัวใจ และเพิ่มความอึดในการทำกิจกรรมทางเพศ
  • สับปะรด 🍍 กระตุ้นฮอร์โมนเพศ เพิ่มพลังงาน และลดความเหนื่อยล้า
  • อะโวคาโด 🥑 บำรุงหัวใจและระบบหมุนเวียนเลือด เพิ่มความแข็งแรงของร่างกายและสมรรถภาพทางเพศ 
  • กล้วย 🍌 เพิ่มพลังงานและสมรรถภาพทางเพศ ให้พลังงานและความทนทาน
  • ทับทิม 🍎 สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต บำรุงองคชาตและเพิ่มความแข็งแรง
  • แอปเปิล 🍏 ปรับปรุงการไหลเวียนเลือด ช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ
  • กีวี่ 🥝 เสริมระบบหมุนเวียนเลือด ลดความเสี่ยงของภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
  • เชอร์รี่ 🍒 เพิ่มการไหลเวียนเลือดและพลังงาน ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ
ใครอยากเพิ่มสมรรถภาพแบบธรรมชาติ ลองผลไม้เหล่านี้ดู รับรองไม่ผิดหวัง! 💪

การปลูกผม Pro คืออะไร

M PRP ปลูกผมคืออะไร? 💉

คือ การปลูกผมที่ไม่ใช่การผ่าตัด ทำได้โดยการฉีด PRP (Platelet-Rich Plasma) พลาสมาเกล็ดเลือดเข้มข้นที่อุดมไปด้วยGrowth factor และสารอาหารจากเลือดของคุณเองมาฉีดเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม

ขั้นตอนง่าย ๆ ประกอบด้วย

1. การเก็บตัวอย่างเลือด
2. การปั่นแยกพลาสมา
3. ฉีดพลาสมาที่ได้กลับเข้าสู่หนังศีรษะ

ทำไมต้อง M PRP?

✅ ทำโดย Sterile technique การฉีดมีความปลอดภัยสูง
✅ ได้จากเลือดของคุณเอง ไม่เสี่ยงต่อการแพ้
✅ ป้องกันความเจ็บโดยใช้เทคนิคบล็อคยาชาและแปะยาชาร่วมด้วย
✅ ได้ผลไวแม้ไม่ได้รับประทานยา
✅ บริการโดยแพทย์และทีมงานชายล้วน
✅ สถานที่เป็นส่วนตัว อยู่ใจกลางเมือง มีที่จอดรถ

ผลลัพธ์ที่ได้


✅ กระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผมอย่างมีประสิทธิภาพ
✅ เพิ่มความหนาแน่นของเส้นผมให้หนาและแข็งแรง
✅ กระตุ้นรากผมและเส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยง
✅ ลดการหลุดร่วงของเส้นผม

การเพิ่มขนาดน้อง ช.มีกี่วิธี ?

การเพิ่มขนาดน้องช. มีกี่วิธี ?

ด้วยวิธีการเพิ่มขนาดมีหลากหลายมากซึ่งแต่ละวิธีก็แตกต่างกันออกไปกับความต้องการและความเหมาะสม 
1.การฉีด PRP (วิธีแนะนำ)

เป็นการเพิ่มขนาดและความแข็งแรงให้กับอวัยวะเพศชายได้โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยการใช้เลือดของผู้เข้ารับบริการในการสกัด Growth Factor เพื่อผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง ไม่เสี่ยงต่อการแพ้หรือผลข้างเคียง แนะนำให้ทำหลายครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

2.การฉีดฟิลเลอร์ (วิธีแนะนำ)

เป็นหนึ่งในทางเลือกในการเพิ่มขนาด หรือปรับรูปทรงของน้องชายให้ดูดีขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากในขณะนี้ เพราะเห็นผลลัพธ์เลยทันทีหลังทำ มีความปลอดภัยสูง เพราะใช้ฟิลเลอร์ชนิดแบบเดียวกันกับที่ฉีดหน้า สามารถฉีดเพิ่มขนาดที่หัวได้ และสามารถปั้นปรับแต่งทรงง่าย จึงได้รูปทรงที่ออกมาเป็นธรรมชาติ

3.การทำ Shockwave (วิธีแนะนำ)

วิธีนี้จะใช้คลื่น Shockwave เข้าไปที่บริเวณน้องชาย โดยจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างหลอดเลือดฝอยขึ้นมาใหม่ กระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูเซลล์ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น และที่ M Clinic จะมีเทคนิคพิเศษที่กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ทำให้สามารถเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้นได้ประมาณ 0.5-1 นิ้ว และความยาวอาจจะเพิ่มได้ประมาณครึ่งนิ้ว 

4.การฉีดไขมัน

เป็นวิธีการที่ใช้ไขมันตนเองมาสกัดให้ได้เซลล์ แล้วจึงนำไปฉีดเข้าที่น้องชาย ไม่เสี่ยงต่อการแพ้ และสามารถเติมได้มากไม่จำกัดปริมาณ แต่ต้องเติมมากกว่าความต้องการไป 2-3 เท่า เพราะโอกาสที่ไขมันจะติดมีแค่ 30-50% และวิธีการนี้จะไม่สามารถใช้ฉีดบริเวณหัวของน้องชายได้ และต้องฉีดซ้ำ ถึงจะได้ขนาดที่คงตัว

5.ผ่าตัดใส่ซิลิโคน

วิธีนี้จะใช้การผ่าตัดเสริมซิลิโคนเข้าไปที่บริเวณน้องชาย โดยปัจจุบันมีการผลิตซิลิโคนที่ใช้หลากหลายรูปแบบ มีรูปร่างแตกต่างกันตามความต้องการ วิธีนี้จะเป็นการเพิ่มขนาดที่คงทนถาวร แต่จะแก้ไขได้ยาก และไม่สลายไปเองตามธรรมชาติ

6.ผ่าตัดเนื้อเยื่อเทียม

เป็นวิธีที่จะตัดแต่งเนื้อเยื่อเทียมให้เข้ากับขนาด และนำไปเสริมเข้าไปที่บริเวณของน้องชายโดยวิธีการผ่าตัด สามารถเพิ่มเส้นรอบวงของน้องชายได้เลยทันที มีความปลอดภัยเนื่องจากเป็นสารธรรมชาติ และมีโครงสร้างใกล้เคียงเนื้อเยื่อผิว ทำให้โอกาสร่างกายต่อต้านน้อย เนื้อเยื่อเทียมจะมีลักษณะเป็นแผ่นซึ่งจะนิ่มลงตามกาลเวลา แตกต่างจากการผ่าตัดใส่ซิลิโคนที่อยู่คงทนถาวร

7.ผ่าตัดใส่เนื้อเยื่อจากถุงอัณฑะ

วิธีนี้จะผ่าตัดโดยใช้กล้ามเนื้อบริเวณถุงอัณฑะ นำไปวางใต้ผิวหนังรอบๆน้องชาย หลังผ่าตัดจะสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้เลยทันที แต่เป็นวิธีที่ไม่ได้รับความนิยมนัก เพราะเหมาะกับการใช้รักษาในกลุ่มคนที่ฉีดสารเหลว และใช้เวลาในการพักฟื้นนาน

8.ผ่าตัดปลดเส้นเอ็น

เป็นวิธีเพิ่มขนาดความยาวของน้องชาย โดยใช้วิธีการผ่าตัดยืดขยายเส้นเอ็นที่ยึดบริเวณเชิงกรานออก ทำให้น้องชายยืดออกนอกลำตัวได้มากขึ้น จึงช่วยทำให้เพิ่มความยาวได้ แต่วิธีการนี้ทำให้เกิดรอยแผลผ่าตัด และหากเกิดผลข้างเคียงจากการผ่าตัดอาจทำให้น้องชายหดสั้นลงได้

9. ผ่าตัดไขมัน

เป็นวิธีเพิ่มขนาดความยาวของน้องชาย โดยใช้วิธีการตัดนำไขมันบริวณหัวหน่าวออก จะช่วยให้ขนาดยาวขึ้นได้ แต่อาจทำให้เกิดรอยแผลจากการผ่าตัด และวิธีนี้เหมาะกับคนที่มีไขมันสะสมมากบริเวณรอบฐานน้องชายจนทำให้ดูสั้น

การเลือกวิธีที่เหมาะสมควรพิจารณาความปลอดภัยและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น 

 

Posts pagination