Testosterone คืออะไร? ฮอร์โมนเพศชายตัวท็อปที่มีผลต่อสุขภาพในทุกมิติ

เทสโทสเตอโรน (Testosterone) คืออะไร?

เทสโทสเตอโรน (Testosterone) คือ ฮอร์โมนเพศชายที่ผลิตโดยอัณฑะของผู้ชาย และในรังไข่ของผู้หญิงแต่ผลิตในปริมาณที่น้อยกว่า รวมถึงในต่อมหมวกไตของทั้งสองเพศด้วย เทสโทสเตอโรนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาลักษณะทางเพศและการทำงานของร่างกายหลายด้านจะมีอะไรบ้าง? ไปดูกัน!

 

ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ทำหน้าที่อะไร?

ในผู้ชาย:
  • การพัฒนาความเป็นผู้ชาย: ช่วยให้ร่างกายผู้ชายเปลี่ยนแปลงเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น เช่น อวัยวะเพศเติบโตขึ้น เสียงแตก มีขนขึ้นตามร่างกายและใบหน้า
  • สร้างกล้ามเนื้อและความแข็งแรง: ช่วยส่งเสริมการสร้างโปรตีนให้กับร่างกาย ทำให้ผู้ชายมีกล้ามเนื้อที่ใหญ่และแข็งแรงกว่าผู้หญิงโดยธรรมชาติ
  • ดูแลกระดูกให้แข็งแรง: มีส่วนช่วยในการรักษาความแข็งแรงและความหนาแน่นของกระดูก และลดความเสี่ยงของภาวะกระดูกบางหรือกระดูกพรุนได้
  • ช่วยในการผลิตอสุจิ: เป็นฮอร์โมนหลักที่จำเป็นต่อร่างกาย ในการผลิตอสุจิที่สมบูรณ์และมีคุณภาพ
  • เพิ่มความต้องการทางเพศ: มีผลอย่างมากต่อความต้องการทางเพศและสมรรถภาพทางเพศ และช่วยให้การทำงานทางเพศเป็นปกติ
  • ส่งผลต่อพลังงานและอารมณ์: ถ้า เทสโทสเตอโรน (Testosterone) อยู่ในระดับที่เหมาะสมผู้ชายจะรู้สึกกระฉับกระเฉง สดชื่น อารมณ์ดี แต่ถ้าต่ำเกินไป อาจรู้สึกเหนื่อยง่าย หงุดหงิด หรือซึมเศร้าได้
ในผู้หญิง:

แม้ผู้หญิงจะมีเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ในปริมาณน้อยกว่าผู้ชายมาก แต่ฮอร์โมนนี้ก็ยังมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพของผู้หญิงในหลายด้าน เช่น

  • ความต้องการทางเพศ: ช่วยกระตุ้นความรู้สึกทางเพศและความพึงพอใจทางเพศในผู้หญิง
  • พลังงานและอารมณ์: ช่วยให้รู้สึกกระฉับกระเฉง อารมณ์ดี และลดความรู้สึกเหนื่อยล้า
  • ดูแลกระดูกให้แข็งแรง: มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างและรักษามวลกระดูก ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะกระดูกบางหรือกระดูกพรุนได้

สาเหตุและผลกระทบเมื่อเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ผิดปกติมีอะไรบ้าง?

ระดับของเทสโทสเตอโรน (Testosterone) สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามอายุ พฤติกรรมการใช้ชีวิต และปัญหาสุขภาพต่าง ๆ หากระดับฮอร์โมนนี้สูงหรือต่ำเกินไป อาจส่งผลต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ ดังนี้

 

ระดับต่ำกว่าปกติ

ในผู้ชายหากระดับเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ต่ำกว่าปกติ อาจนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น:

  • ความต้องการทางเพศลดลง
  • เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง
  • มวลกล้ามเนื้อลดลง ไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้น
  • ความหนาแน่นของกระดูกลดลง เสี่ยงกระดูกพรุน
  • อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดหรือซึมเศร้า

สาเหตุที่เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ต่ำกว่าปกติ อาจเกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้น (ซึ่งเป็นเรื่องปกติ) โรคเรื้อรัง การใช้ยาบางชนิด หรือปัญหาที่อัณฑะ

ระดับสูงกว่าปกติ:

ในผู้ชาย: โดยทั่วไปการมีเทสโทสเตอโรน (Testosterone) สูงเกินไปตามธรรมชาตินั้นพบไม่บ่อย แต่หากมีการใช้สารสังเคราะห์ เช่น สเตียรอยด์เพื่อเพิ่มฮอร์โมน อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเช่น:

  • ปัญหาหัวใจและหลอดเลือด
  • ตับมีปัญหา ตับวาย
  • ปัญหาด้านพฤติกรรม เช่น อารมณ์รุนแรงและพฤติกรรมก้าวร้าว

ในผู้หญิง: หากระดับเทสโทสเตอโรนสูงเกินไป อาจนำไปสู่ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS) ทำให้เกิดอาการ เช่น:

  • ขนขึ้นผิดปกติตามใบหน้าและร่างกาย
  • ผิวมัน เป็นสิว
  • ประจำเดือนมาไม่ปกติ

วิธีการรักษาระดับเทสโทสเตอโรน (Testosterone)ให้สมดุล

การรักษาระดับเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ให้สมดุลเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจ โดยสามารถดูแลได้ด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้

  • ออกกำลังกายเป็นประจำ: โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบใช้แรงต้าน เช่น การยกเวท (Weight Training) ซึ่งช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมน
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เลือกอาหารที่มีโปรตีนสูง วิตามินดี และสังกะสี ซึ่งล้วนมีส่วนช่วยในการสร้างฮอร์โมน
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนอย่างน้อย 7–8 ชั่วโมงต่อคืน ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนได้ดีขึ้น
  • ลดความเครียด: ความเครียดสะสมสามารถส่งผลให้ระดับเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ลดลงได้
  • ควบคุมน้ำหนัก: ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนมีความเกี่ยวข้องกับระดับเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ที่ต่ำ

หากคุณมีอาการที่สงสัยว่าอาจเกิดจากความไม่สมดุลของระดับเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจเลือดและประเมินระดับฮอร์โมนอย่างแม่นยำ รวมถึงรับคำแนะนำการรักษาที่เหมาะสม

 

ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) จึงไม่ใช่ฮอร์โมนเพศชายเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นฮอร์โมนสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจของทั้งผู้ชายและผู้หญิง มีบทบาทต่อหลายระบบในร่างกาย และเป็นองค์ประกอบที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตโดยรวมให้ดียิ่งขึ้น



ทำ Shockwave จำนวนกี่ Shot ถึงจะเห็นผล ?

ทำ Shockwave จำนวนกี่ Shot ถึงจะเห็นผล ?

เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยว่าการทำ Shockwave Therapy จำนวน Shot เท่าไหร่ถึงเห็นผลลัพธ์ หลายคนอาจจะคิดว่าการที่ได้จำนวน Shot ที่เยอะจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า แต่ความจริงแล้วจำนวน Shot ที่เหมาะสมกับบุคคลระดับปัญหาภาวะ ED รวมไปถึงการตั้งค่าพลังงานที่แม่นยำ ซึ่งไม่ใช่แค่จำนวนที่เยอะจะได้ผลดีเสมอไปนะครับ

🔎 ตามงานวิจัยแล้วควรทำกี่ Shot?

จากการรวบรวมงานวิจัยในปี 2025 นี้พบว่าโดยเฉลี่ยแล้วการทำ Low-intensity Shockwave Therapy  เพื่อรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพ ภาวะ ED มีการใช้จำนวนช็อตตั้งแต่ระหว่าง 1,500 – 3,000 Shot ต่อครั้งก็ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพได้

#shockwave #สุขภาพเพศชาย #mclinic #clinicformenbangkok #รีวิวMClinic
#shockwave #สุขภาพเพศชาย #mclinic #clinicformenbangkok #รีวิวMClinic
#shockwave #สุขภาพเพศชาย #mclinic #clinicformenbangkok #รีวิวMClinic
#shockwave #สุขภาพเพศชาย #mclinic #clinicformenbangkok #รีวิวMClinic

✅ ทำ “พอดี” ถึงจะเห็นผล

หากการทำ Shockwave ด้วยจำนวน Shot ที่เหมาะสมพอดีกับผู้เข้ารับบริการ จะช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดใหม่ได้ดี มีประสิทธิภาพของการไหลเวียนเลือด และฟื้นฟูสมรรถภาพช่วงล่างได้อย่างมั่นใจโดยไม่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บหรือผลข้างเคียงที่เกิดจากการทำจำนวนที่เยอะเกินความจำเป็น

 

❌ ยิ่งเยอะ ไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป

ที่หลายคนเข้าใจผิดได้ว่าการทำเยอะไว้ก่อนจะเห็นผลดีกว่าแต่ในความเป็นจริงแล้วหากจำนวน shot ที่เกินพอดีและยังไม่ได้มีการตั้งค่าพลังงานที่เหมาะสมกับ ผู้เข้ารับบริการอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดีได้ไม่ว่าจะการบาดเจ็บจากการที่ใช้จำนวนช็อตที่มากเกินไปรวมถึงผลลัพธ์ที่ไม่ได้เลยหากใช้จำนวนช็อตที่น้อยเกินไป

 

มากเกินไป : การยิงคลื่นมากเกินไปอาจทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นเกิดการอักเสบหรือบาดเจ็บได้และส่งผลในการใช้งานได้และอาจจะต้องหยุดพักก่อน

 

น้อยเกินไป : การยิงคลื่นจำนวน Shot ที่น้อยเกินไปอาจไม่ได้ส่งเสริม กระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูได้เต็มที่อย่างที่คิด 

 

ซึ่งการทำ Shockwave Therapy ที่ได้ผลลัพธ์ ไม่ใช่แค่ จำนวนมากหรือน้อย แต่ต้องมีทีมงานที่มีความรู้และความเข้าใจในการตั้งค่าพลังงานที่เหมาะสมเพื่อความแม่นยำของตัวเครื่อง

 

โปรแกรม M Focused Shockwave Therapy ที่ M Clinic เราเน้นให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ในการรักษา 

 

✔️ จุดเด่นของ M Focused Shockwave Therapy

✅ เป็นการบำบัดอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โดยไม่ใช้ยา

✅ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและการสร้างเส้นเลือดฝอยใหม่

✅ มีการ Calibrate เครื่อง และตั้งค่าพลังงานเฉพาะบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ

✅ ให้บริการโดยบุคลากรทางการแพทย์ชายล้วน

✅ ให้ความเป็นส่วนตัว

#shockwave #สุขภาพเพศชาย #mclinic #clinicformenbangkok #รีวิวMClinic

📌 ใครที่กำลังมากหาตัวช่วยฟื้นฟูสุขภาพช่วงล่าง M Focused Shockwave Therapy

เป็นอีกตัวช่วยที่มีงานวิจัยยอมรับและยังอยู่ในการดูแลของแพทย์ทั้งเรื่องการตั้งค่าพลังงานที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล รวมถึงเรื่องจำนวน Shot ที่ออกแบบเฉพาะบุคคล 

 

💬 สนใจปรึกษา M Clinic ได้เลยครับ เราพร้อมดูแลคุณอย่างใส่ใจ และเป็นส่วนตัว




ผู้ชายวัยทองยุคใหม่ต้องไม่ปล่อยให้ร่างพัง

“วัยทองผู้ชาย” ไม่ใช่แค่เรื่องของอายุ แต่คือจุดเปลี่ยนของสุขภาพที่ต้องรับมือให้ทัน

เมื่อผู้ชายก้าวสู่วัย 40 ปีขึ้นไป หลายคนอาจเริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและอารมณ์ เช่น เหนื่อยง่าย เครียดง่าย มวลกล้ามเนื้อลดลง หรือแม้แต่สมรรถภาพทางเพศที่ถดถอย ปัญหาเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของ “วัยทองผู้ชาย” หรือที่เรียกว่า Andropause ซึ่งเป็นภาวะที่ระดับฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ลดลง

วัยทองผู้ชาย คืออะไร? Andropause หรือ Male Menopause คือ ภาวะที่ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในร่างกายลดลง ส่งผลให้เกิดอาการทางร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ ซึ่งคล้ายกับวัยทองของผู้หญิง โดยมักพบในผู้ชายอายุประมาณ 40-55 ปีขึ้นไป และจะเกิดช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับพันธุกรรม การใช้ชีวิต และสุขภาพโดยรวม

#สุขภาพผู้ชาย #วัยทอง #ED #ฮอร์โมน #อาหารเสริม #สุขภาพ #Men #สูงวัย

10 สัญญาณเตือนเมื่อเข้าสู่วัยทองผู้ชาย

  1. เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียตลอดวัน
  2. อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย
  3. สมรรถภาพทางเพศลดลง
  4. นอนหลับไม่สนิท หลับยาก
  5. น้ำหนักขึ้น ไขมันสะสมบริเวณหน้าท้อง
  6. มวลกล้ามเนื้อลดลงแม้มีการออกกำลังกาย
  7. ความจำไม่ดี สมาธิสั้น
  8. ขาดแรงจูงใจ ไม่กระตือรือร้น
  9. ผิวพรรณแห้ง หย่อนคล้อย
  10. รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองเหมือนเดิม

หากคุณมีอาการเหล่านี้มากกว่า 3 ข้อขึ้นไป อาจเป็นสัญญาณของภาวะฮอร์โมนเพศชายลดลง และควรเข้ารับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ




#สุขภาพผู้ชาย #วัยทอง #ED #ฮอร์โมน #อาหารเสริม #สุขภาพ #Men #สูงวัย
ปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นวัยทองให้มาเร็วขึ้น
  • อายุที่มากขึ้น
  • พันธุกรรมจากครอบครัว
  • ความเครียดสะสม
  • การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
  • การดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่
  • ภาวะอ้วน ไขมันในร่างกายสูง
  • โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง

ตรวจเช็กได้อย่างไรว่าเข้าวัยทองแล้ว? การวินิจฉัยภาวะวัยทองของผู้ชาย ต้องอาศัยการซักประวัติ อาการ และการตรวจเลือดเพื่อดูระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Total / Free Testosterone) รวมถึงฮอร์โมนที่เกี่ยวข้อง เช่น LH, FSH, PSA, HCT และค่าการทำงานของตับ

 

แนวทางดูแลจาก M Clinic: ฟื้นฟูวัยทองผู้ชายแบบองค์รวม
  • ✅ ตรวจวิเคราะห์ฮอร์โมนเพศชายอย่างละเอียด (Testosterone / LH / PSA ฯลฯ)
  • ✅ วางแผนฟื้นฟูสุขภาพร่วมกับแพทย์เฉพาะทางเฉพาะบุคคล
  • ✅ โปรแกรม M Shot Testosterone เพื่อปรับสมดุลฮอร์โมนอย่างปลอดภัย
  • ✅ IV Drip สูตรเฉพาะสำหรับฟื้นฟูร่างกาย บำรุงตับ และเสริมภูมิคุ้มกัน
  • ✅ โปรแกรมเสริมสมรรถภาพทางเพศ (M Focused Shockwave Therapy) ที่ไม่ต้องผ่าตัด
  • ✅ โปรแกรมกระตุ้นกล้ามเนื้อและลดไขมัน (M Abs Tesla Sculpt) สำหรับคนที่ออกกำลังกายแล้วเห็นผลช้า

ผู้ชายวัยทองยุคใหม่…ต้องไม่ปล่อยให้ร่างพัง! หากรู้ทันและวางแผนดูแลอย่างถูกวิธี คุณสามารถกลับมามีสุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจได้อย่างมั่นใจ

M Clinic พร้อมดูแลสุขภาพคุณผู้ชายด้วยทีมแพทย์และเทคโนโลยีเฉพาะทาง คลินิกเฉพาะทางด้านสุขภาพและฟื้นฟูสมรรถภาพสำหรับผู้ชาย โดยทีมแพทย์และพนักงานชายล้วน ให้บริการแบบเป็นส่วนตัว

ปรับสมดุลฮอร์โมน ฟื้นฟูสุขภาพ คืนความมั่นใจให้คุณผู้ชายอีกครั้ง

เปรียบเทียบ M Focused Shockwave และ M Bocox®

เปรียบเทียบ M Focused Shockwave และ M Bocox®

2 โปรแกรมเด่นที่ช่วยฟื้นฟูสรรมถภาพช่วงล่างสำหรับผู้ชายที่ M Clinic 

เมื่ออายุเพิ่มขึ้นสุขภาพร่างกายก็ต้องเปลี่ยนแปลง รวมถึงสุขภาพทางเพศด้วย ซึ่งกระทบโดยตรงต่อความมั่นใจของผู้ชาย และยังส่งผลถึงคุณภาพชีวิตรวมถึงความสัมพันธ์อีกด้วย ปัจจุบันมีผู้ชายหลายคนมีปัญหาเรื่องสุขภาพทางเพศ ไม่ว่าจะทางใดก็ทางหนึ่ง เช่น การตื่นตัวที่ลดลง ความแข็งแรงที่ไม่เหมือนก่อน มีภาวะเรือล่มปากอ่าว หรือ นกเขาไม่ขัน

 

M Clinic เราเป็นคลินิกที่เชี่ยวชาญในด้านการดูแลสุขภาพคุณผู้ชายโดยเฉพาะ จึงมุ่งเน้นการพัฒนาโปรแกรมต่าง ๆ เพื่อรักษาได้อย่างตรงจุด เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้นและเพื่อการรักษาที่ไม่ต้องพึ่งยาแบบเดิมอีกต่อไป  M Clinic มีโปรแกรมให้ผู้เข้ารับบริการเลือกตามความต้องการและตามความรุนแรงของปัญหา ซึ่ง 2 โปรแกรมเด่นที่แนะนำ คือ M Focused Shockwave Therapy และโปรแกรม M Bocox® วันนี้จะมาดูความแตกต่างของแต่ละโปรแกรมกันครับ ว่าใครจะเหมาะกับโปรแกรมไหน เพื่อการรักษาอย่างตรงจุดของแต่ละบุคคล

 

ก่อนอื่นมาทำเข้าใจภาวะ ED (Erectile Dysfunction) 

ภาวะ ED ( Erectile Dysfunction ) คือ ภาวะหย่อนสมรรถภาพช่วงล่าง คือการที่ผู้ชายมีปัญหาสุขภาพทางเพศที่ไม่ดีพอหรือมีการตื่นตัวที่น้อยลง หรือการที่มีกิจกรรมไม่สำเร็จ สาเหตุที่เกิดภาวะ ED มีหลายปัจจัย ทั้งด้านร่างกาย เช่น โรคประจำตัวที่ส่งผลต่อสุขภาพช่วงล่าง ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดได้ไม่ดี และปัจจัยทางด้านจิตใจ ไม่ว่าจะความเครียด วิตกกังวล ไปจนถึงภาวะซึมเศร้าก็ส่งผลต่อสุขภาพช่วงล่างได้

 

สรุปสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะ ED

🔹 โรคประจำตัวที่เป็นอยู่ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดไม่ดี เช่น โรคเบาหวาน และความดัน

🔹 มีภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล ฮอร์โมน testosterone ต่ำกว่าปกติ เลยส่งผลต่อสุขภาพทางเพศ

🔹ปัญหาทางด้านจิตใจก็เป็นส่วนที่ส่งผลต่อสุขภาพทางเพศได้ เช่น ความเครียดสะสม การวิตกกังวล และภาวะโรคซึมเศร้า

🔹โรคเฉพาะทาง Peyronie’s Disease (องคชาติคดงอ) โรคนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพชีวิตทางเพศได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ควรปรึกษาแพทย์และเข้ารับการรักษาที่ตรงจุด

M Focused Shockwave Therapy 

การรักษาบำบัดด้วยคลื่นกระแทกพลังงานต่ำ ( Low-Intensity Focused Shockwave Therapy ) เป็นการรักษาอีกวิธีที่มีความนิยมระดับสากล และมีงานวิจัยรองรับ โดยใช้พลังงานคลื่นเสียงเข้าไปกระตุ้นเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดบริเวณช่วงล่าง อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดขึ้นใหม่ตามธรรมชาติ

 

จุดเด่นของ M Focused Shockwave:
  • ไม่ต้องใช้ยา ไม่มีแผล หลังทำสามารถใช้งานได้เลย
  • ไม่มีผลข้างเคียง หลังเข้ารับบริการไม่ต้องพักฟื้น
  • เป็นหัตถการที่เหมาะกับมือใหม่ผู้เริ่มต้น อยากเพิ่มความมั่นใจ
  • ใช้เครื่องมือที่ได้รับการรับรองและทันสมัย มีการปรับค่าพลังงานให้เหมาะกับแต่ละบุคคล
  • ทำตามงานวิจัยทางการแพทย์ เพื่อผลลัพธ์

 

M Focused Shockwave Therapy เป็นหัตถการที่เหมาะกับผู้ชายที่ยังมีการตื่นตัวได้ แต่มีความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม หรือการตื่นตัวได้ไม่เหมือนแต่ก่อน รวมถึงคนที่ไม่มีปัญหา ก็สามารถมาฟื้นฟูเพื่อคงความฟิตของช่วงล่างพร้อมเพิ่มสมรรถภาพได้ดีมากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ สำหรับคนที่มีปัญหาไม่สามารถแข็งตัวได้เลยแนะนำให้ค้นหาสาเหตุที่แท้จริงก่อน

 

M Bocox® 

M Bocox® เป็นอีกหัตถการที่ใช้ Botulinum Toxin หรือ Botox ในการนำมาฉีดบริเวณช่วงล่างเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดได้ดีขึ้น จากการคลายกล้ามเนื้อในแกนของอวัยวะคุณผู้ชาย ซึ่งจะส่งผลให้การไหลเวียนเลือดเข้าไปในอวัยวะได้ดีมากยิ่งขึ้น และเมื่อกล้ามเนื้อฟองน้ำคลายตัวออกจะส่งผลให้มีการขยายขนาดของน้องชายเพิ่มขึ้น ใหญ่ขึ้น และด้วยส่วนผสมพิเศษของ M Bocox®  จะทำให้การตื่นตัวของช่วงล่างก็จะมีคุณภาพที่ดี ทนมากขึ้น สามารถทำกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

จุดเด่นของ M Bocox®:
  • ✅ ช่วยในเรื่องความตื่นตัวได้นานขึ้น แข็งแรงมากขึ้น
  • ✅กล้ามเนื้อฟองน้ำคลายตัวทำให้เพิ่มขนาดของอวัยวะได้
  • ✅ เป็นหัตถการที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ได้ลองทำมาหลายวิธีมาแล้วยังไม่เห็นผล
  • ✅ เห็นผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไปภายใน 2-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละบุคคล
  • ✅ เป็นหัตถการที่ต้องทำโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์

 

M Bocox® เป็นโปรแกรมที่เหมาะสมสำหรับผู้ชายที่มีปัญหาช่วงล่าง คนที่อยากเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว คนที่มีภาวะหย่อนสมรรถภาพเพศ การตื่นตัว และทำให้หมดความมั่นใจเวลาทำกิจกรรม M Bocox® เป็นอีกตัวช่วยได้

 
แล้วควรเลือกโปรแกรมไหน? M Focused Shockwave หรือ M Bocox®

โปรแกรมหรือหัตถการที่ต้องการฟื้นฟูสมรรถภาพช่วงล่างควรพิจารณาจากปัญหาสุขภาพช่วงล่างของแต่ละบุคคล อีกทั้งระดับอาการของภาวะ ED ที่แตกต่างกันออกไปรวมถึงความรุนแรงของอาการ

  • ระดับเริ่มต้นหรือไม่มีอาการ หากรู้สึกว่าสุขภาพช่วงล่างยังใช้งานได้ตามปกติ หรือมีปัญหาไม่มากนัก อยากเพิ่มความมั่นใจในเรื่องสุขภาพทางเพศ M Focused Shockwave Therapy ถือเป็นหัตถการเริ่มต้นที่ดี เพราะไม่มีเข็ม ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้งานต่อได้เลย และยังเป็นการฟื้นฟูจากภายใน ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้นในระยะยาวได้
  • ระดับที่มีปัญหาไปจนถึงมีปัญหาขั้นรุนแรง หากมีอาการที่ไม่สามารถตื่นตัวได้ หรือตื่นตัวได้บ้าง และได้รับการรักษาอย่างอื่นมาแล้วไม่เห็นผลลัพธ์ หรือไม่ตอบโจทย์ M Bocox® เป็นอีกหัตถการที่ช่วยให้เห็นผลลัพธ์ได้ดีขึ้น และเพิ่มความมั่นใจ ให้กลับมาดีขึ้น

ฉีดฮอร์โมนด้วยตัวเองเสี่ยงเป็นหมันหรือไม่?

ฉีดฮอร์โมนด้วยตัวเองเสี่ยงเป็นหมันหรือไม่?

การฉีดฮอร์โมนกลายเป็นวิธีที่หลายคนสนใจเพื่อเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ เพิ่มกล้ามเนื้อ หรือปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย แต่รู้หรือไม่ว่าการฉีดฮอร์โมนด้วยตัวเองโดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์ อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงและผลกระทบร้ายแรงเช่น การเป็นหมัน การเสพติดฮอร์โมน และผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว 💬

 

1. ความเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก (เป็นหมัน)

การฉีดฮอร์โมนโดยขาดการวางแผนที่เหมาะสม เช่น ไม่มีการใช้ยาเพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบฮอร์โมนตามธรรมชาติ (Post Cycle Therapy – PCT) อาจทำให้ร่างกายหยุดผลิตฮอร์โมนเองตามธรรมชาติ ส่งผลให้จำนวนอสุจิลดลงหรือถึงขั้นเป็นหมันได้

 

2.ปัญหาน้ำอสุจิน้อย

การฉีดฮอร์โมนที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุม อาจลดปริมาณน้ำอสุจิ เพราะร่างกายถูกกดการทำงานของอัณฑะ ฮอร์โมนที่มากเกินไปทำให้ร่างกายเสียสมดุลและระบบสืบพันธุ์ทำงานผิดปกติ

 

3.การเสพติดการใช้ฮอร์โมน

เมื่อเริ่มต้นใช้ฮอร์โมน ร่างกายจะรู้สึกถึงพลังงานและสมรรถภาพที่ดีขึ้น แต่เมื่อหยุดฉีด หลายคนอาจรู้สึกว่าร่างกายแย่ลง ไม่สามารถกลับไปเหมือนเดิมได้ ทำให้ต้องฉีดฮอร์โมนอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นการเสพติดการใช้ฮอร์โมน

 

4.ผลข้างเคียงจากการใช้ฮอร์โมน

การฉีดฮอร์โมนที่ไม่มีการวางแผนหรือการจัดการวงจรที่เหมาะสม อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น สิวขึ้นหนัก,อารมณ์แปรปรวน,ระบบการเผาผลาญผิดปกติ,ปัญหาตับและไตจากการสะสมของสารพิษ

 

5.ยาถอย (PCT)

หลังจากการใช้ฮอร์โมน ร่างกายต้องการการฟื้นฟูระบบฮอร์โมนธรรมชาติ การมียาถอย เช่น Clomiphene หรือ HCG ช่วยให้ระบบฮอร์โมนกลับมาทำงานได้ปกติ และลดความเสี่ยงในการเกิดหมันและผลกระทบระยะยาว

 

ข้อแนะนำ

การใช้ฮอร์โมนควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เพื่อวางแผนการใช้ยาอย่างเหมาะสม ควรตรวจสอบระดับฮอร์โมนในร่างกาย เพื่อลดความเสี่ยงจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น การตรวจเลือดก่อนเริ่มต้นใช้ฮอร์โมนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ 

 

การฉีดฮอร์โมนด้วยตัวเองอาจดูสะดวกและรวดเร็ว แต่ในระยะยาวอาจนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพที่แก้ไขยาก ดังนั้น หากคุณกำลังพิจารณาการฉีดฮอร์โมน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพที่ยั่งยืน




ทำไมต้องฉีดฮอร์โมนทุก 7 วัน?

ทำไมต้องฉีดฮอร์โมนทุก 7 วัน?

 

โปรแกรม M Shot Testosterone เป็นการใช้ฮอร์โมนระยะสั้น หรือที่เรียกว่า Short-acting hormones ซึ่งช่วยให้ร่างกายได้รับฮอร์โมนในปริมาณที่พอเหมาะ และสามารถดูดซึมได้อย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อให้ระดับฮอร์โมนอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมและคงที่ คุณจึงต้องฉีดฮอร์โมนบ่อยทุก 7 วัน การรักษาระดับฮอร์โมนอย่างสม่ำเสมอนี้มีความสำคัญมากสำหรับผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพโดยรวมและประสิทธิภาพของการออกกำลังกาย

ข้อดีของการใช้ฮอร์โมนระยะสั้น

  • ควบคุมระดับฮอร์โมนได้ดีกว่า: การฉีดฮอร์โมนในระยะเวลาสั้นทำให้แพทย์สามารถติดตามผลและปรับปริมาณได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้ระดับฮอร์โมนอยู่ในจุดที่สมดุล
  • ลดผลข้างเคียง: ด้วยการใช้ฮอร์โมนในปริมาณที่พอดี ช่วยลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง เช่น สิว ผมร่วง อารมณ์แปรปรวน หรืออาการอ่อนล้า
  • เสริมการออกกำลังกายและสุขภาพโดยรวม: ฮอร์โมนที่สมดุลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างกล้ามเนื้อ เสริมความแข็งแรง และส่งผลดีต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ

การรักษาระดับฮอร์โมนที่เหมาะสมยังส่งผลให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีพลังงานเพียงพอสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ และสามารถตอบสนองต่อการออกกำลังกายได้ดีขึ้น นี่คือเหตุผลที่การฉีดฮอร์โมนทุก 7 วันเป็นวิธีที่แพทย์แนะนำสำหรับการรักษาแบบ M Shot Testosterone!

ที่ Ⓜ️ Clinic มีแผนการใช้ Testosterone ที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะสุขภาพที่กระทบจากภาวะพร่องฮอร์โมน รวมไปถึงการเร่งสร้างกล้ามเนื้อด้วยการใช้ Testosterone

รู้หรือไม่ Q10 ช่วยสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายได้?

รู้หรือไม่ Q10 ช่วยสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายได้?🍌✨🚀

ถ้านึกถึงดูแลสุขภาพช่วงล่างของผู้ชาย หลายคนอาจนึกถึงการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ แต่สิ่งหนึ่งที่มักถูกมองข้ามกลุ่มวิตามิน ที่มีความสำคัญต่อการบำรุงสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Coenzyme Q10 (CoQ10) สารต้านอนุมูลอิสระที่มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของเซลล์ในร่างกาย

 

Q10 คืออะไร?

CoQ10 เป็นสารที่ร่างกายของเราผลิตขึ้นมาเองและมีความสำคัญต่อการผลิตพลังงานในเซลล์ โดยเฉพาะในกล้ามเนื้อและหัวใจ ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้สำคัญต่อสุขภาพของผู้ชายในหลายด้าน รวมถึงการทำงานของระบบสืบพันธุ์ด้วย

 

Q10 กับสมรรถภาพทางเพศของผู้ชาย

การที่ Q10 มีบทบาทในการส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดนั้นส่งผลดีอย่างยิ่งต่อสมรรถภาพทางเพศของผู้ชาย รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงของปัญหา ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction)

 

ประโยชน์อื่น ๆ ของ Q10

นอกจากจะช่วยเรื่องสมรรถภาพทางเพศแล้ว Q10 ยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมายสำหรับผู้ชาย เช่น
* ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง
* เพิ่มพลังงาน ช่วยลดความเหนื่อยล้า เพิ่มความกระฉับกระเฉงในการออกกำลังกายและกิจกรรมประจำวัน
* ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ ทำให้ผู้ชายมีสุขภาพดีและดูอ่อนเยาว์

 

ที่ M Clinic เรามีบริการ IV Drip ที่ไม่เหมือนใคร เพราะเราทำการออกแบบสูตรวิตามินสำหรับผู้ชาย โดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ชาย ช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมน ฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย และช่วยเพิ่มพละกำลังได้อย่างเต็มที่ ✨

ไม่อยากกล้ามหาย ดริปวิตามินช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อได้จริงไหม?

ไม่อยากกล้ามหาย

ดริปวิตามินช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อได้จริงไหม? 💪🏻💬

การรักษามวลกล้ามเนื้อไม่ให้หายไปเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่รักการออกกำลังกายและต้องการรักษารูปร่างที่แข็งแรง การดริปวิตามินสามารถเป็นตัวช่วยในการดูแลกล้ามเนื้อให้คงอยู่ได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากการดริปวิตามินเป็นวิธีที่ให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างตรงจุด โดยเฉพาะสารอาหารที่มีบทบาทในการฟื้นฟูและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ 

 

อย่างไรก็ตาม การดริปวิตามินเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ควรควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง การนอนพักผ่อนก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นตัวและเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้เต็มที่ รวมถึงการรับประทานโปรตีนในปริมาณที่เหมาะสม

มาดูว่ามีวิตามินอะไรบ้างที่สามารถ Maintain กล้ามได้

➡️ วิตามิน D มีบทบาทสำคัญในการช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เนื่องจากช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญในการสร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ วิตามิน D ยังมีส่วนช่วยในการเพิ่มความแข็งแรงและการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อสามารถฟื้นตัวได้ดีขึ้นหลังการออกกำลังกาย

 

➡️ วิตามิน B โดยเฉพาะ B6, B12 มีบทบาทในการช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานและโปรตีนได้ดีขึ้น ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างกล้ามเนื้อและฟื้นฟูหลังการออกกำลังกาย

 

➡️ วิตามิน C ช่วยในการสร้างคอลลาเจน ซึ่งมีบทบาทในการบำรุงและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และลดการอักเสบของกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย

 

M Clinic ของเรามีบริการ IV Drip ที่ปลอดภัยและมีคุณภาพสูง มีสูตรเฉพาะสำหรับผู้ชาย วิตามินหลากหลายที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อตอบโจทย์ปัญหาสุขภาพและความต้องการของผู้ชาย เช่น เพิ่มพลังงาน เสริมกล้ามเนื้อ และยังบำรุงสุขภาพทางเพศ 💉✨

 

📌สนใจสอบถามเพิ่มเติมปรึกษาแอดมินเรื่องแผนการรักษาได้เลย

มารู้จัก Myer’s Cocktail

มารู้จัก Myer’s Cocktail

คือสูตรการให้สารอาหารและวิตามินผ่านทางเส้นเลือดที่ได้รับความนิยมในการบำรุงสุขภาพ สูตรนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดย Dr. John Myers ในสหรัฐอเมริกา และมีส่วนผสมหลักๆ เช่น วิตามินซี แมกนีเซียม แคลเซียม วิตามินบีรวม และส่วนผสมอื่นๆ ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน เพิ่มพลังงาน และฟื้นฟูสภาพร่างกาย

ประโยชน์ของ Myer’s Cocktail 

✅ เพิ่มพลังงาน

✅ เสริมภูมิคุ้มกัน

✅ ช่วยลดอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง

✅ ช่วยบรรเทาอาการของโรคไมเกรนและหอบหืด

✅ ฟื้นฟูจากภาวะขาดสารอาหาร

โดยทั่วไป Myer’s Cocktail มักใช้เพื่อบำรุงสุขภาพทั่วไป รวมถึงฟื้นตัวจากความเครียด อ่อนเพลีย หรือโรคเรื้อรัง

 

ที่ M Clinic เรามีบริการ IV Drip ที่ไม่เหมือนใคร เพราะเราทำการออกแบบสูตรวิตามินสำหรับผู้ชาย โดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ชาย ช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมน ฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย และช่วยเพิ่มพละกำลังได้อย่างเต็มที่ 

กินยาปลูกผมแล้วน้องชายไม่แข็ง

เคยได้ยินว่ากินยาปลูกผมแล้วน้องชายไม่แข็งจริงหรือเปล่า?

#มาดูคำตอบกัน!
จริงๆ แล้ว ยาปลูกผมบางชนิด เช่น Finasteride หรือ Dutasteride ที่มักถูกใช้เพื่อรักษาผมร่วงจากกรรมพันธุ์ อาจส่งผลต่อระดับฮอร์โมนเพศชาย (DHT) ซึ่งเป็นสาเหตุให้บางคนมีปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ หรืออาการที่เรียกว่า “นกเขาไม่ขัน” ได้ 💡

 

แต่อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงนี้พบได้ในคนส่วนน้อยเท่านั้น ซึ่งอาจเกิดขึ้นชั่วคราวและหายได้เมื่อหยุดใช้ยา อีกทั้งไม่ใช่ทุกคนจะได้รับผลกระทบนี้ เพราะร่างกายของแต่ละคนตอบสนองต่อยาแตกต่างกันไป

#ไม่ต้องกังวล! ⭐️

ที่ M Clinic เรามีวิธีช่วยฟื้นฟูและเพิ่มประสิทธิภาพด้วยการรักษา M Focused Shockwave Therapy คือการรักษาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหลอดเลือดและการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะเพศ ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาการแข็งตัวได้ ปลอดภัย ไม่ต้องพึ่งพายา

 

ทำร่วมกับ MPE (M Penile Enhancement) ช่วยเพิ่มขนาดอวัยวะเพศด้วยเซลล์ของตัวเองอย่างปลอดภัย ไม่มีสารแปลกปลอม ไม่ต้องพักฟื้นนาน ช่วยเสริมความมั่นใจและสุขภาพทางเพศภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้มีประสบการณ์👨‍⚕️Ⓜ️

Posts pagination